5,364 m. เหนือระดับน้ำทะเล – 2

Day 5 Namche Bazaar to Tengbongche

เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศยังคงสดใส เหมือนทุกวัน เรามุ่งหน้าเดินทางสู่ Tengboche ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 กม. โดยวันนี้ความสูงจะเพิ่ม 430 เมตร ไปสู่ระดับความสูงที่ 3,870 เมตร การเดินยังคงเหมือนเดิมทุกวันกลุ่มนำหน้า ก็จะนำไปหยุดรอเราเป็นระยะๆ โดยกลุ่มเดินนำหน้าจะมีผู้ช่วยไกด์ชาวเชอร์ปาชื่อ Citra ซึ่งเป็นคนที่ดูแข็งแรง และไม่มีอะไรทำร้ายได้ ทุกวัน Citra จะออกเดินด้วยการใส่เสื้อยืดแขนยาวหนึ่งตัว หมวกหนึ่งใบ สะพายเป้ใบเล็ก มือข้างนึงจะถือกระติกน้ำเล็กๆอันนึง Citra เดินไปเรื่อยๆแต่เดินเร็วมาก และไม่เคยมีสีหน้ารู้สึกเหนื่อย ต่างกับ Sabine ซึ่งเป็นหัวหน้าไกด์ของกลุ่มนั้น ที่ทั้งอ้วน และดูเหนื่อยตลอดเวลา Sabine จะมาเดินอยู่กับกลุ่มเราที่รั้งท้ายอยู่เสมอ ทางเดินวันนี้ในช่วงแรกยังไม่ค่อยขึ้นที่สูงมาก และเดินผ่านแม่น้ำอยู่ช่วงนึง ระหว่างทางก็จะเจอกับเหล่าลูกหาบทั้งคนและจามรี จามรีคนที่นี่จะเรียกว่า Yak กับ Nak Yak เป็นจามรีตัวผู้ และ Nak เป็นจามรีตัวเมีย เมื่อไหร่ที่ฝูงจามรีเดินผ่าน ก็จะต้องเป็นหน้าที่ของคนที่ต้องคอยหลบให้ โดยคนดูแลจามรีจะใช้วิธีผิวปาก ตะโกน กับเอาเศษหินขว้างเพื่อบังคับทิศทางจามรีของตัวเอง Darwa เล่าให้ฟังว่าในพื้นที่สูงม้าจะไม่สามารถแบกของขึ้นมาได้ จะมีแต่จามรีเท่านั้นที่สามารถแบกของขึ้นมา ระหว่างทางพวกเราก็เดินผ่านร้านเบเกอร์รี่ ซึ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของทุกคน บางคนแวะซื้อขนมปัง บางคนซื้อคุกกี้กินกันอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้นเราแวะกินอาหารกลางวันที่ร้านระหว่างทาง ครั้งนี้คนแน่นเต็มร้านไปหมด จนไม่มีพื้นที่ให้นั่งภายในร้าน เราเลยต้องออกมานั่งตากแดดกันข้างนอก มื้อกลางวัน วันนี้สั่งก๋วยเตี๋ยวผัดกับสปาเก็ตตี้ พอกินเสร็จพวกเราก็เดินกันต่อ ทางเดินเริ่มมีความโหดร้าย มีทางชันที่ต้องเดินขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งที่เจอทางชัน จะรู้สึกเหนื่อยและหมดแรงมาก โชคดีอีกอย่างของวันนี้คือ ประจำเดือนมา เซ็งสุดๆ แค่คิดว่าจะต้องอีดอัดไปอีกหลายวัน

เราเดินกันมาจนถึง Tengboche monastery แวะเข้าไปภายในวัด กลุ่มพวกเรานั่งลงกันอยู่เงียบๆภายในวัดอยู่พักใหญ่ เกิดความรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก พอเดินออกมา พวกเราเจอร้านเบเกอร์รี่ ขนมที่นี่หน้าตาน่ากินเหมือนเดิม คนที่นี่น่าจะมีสกิลการทำขนมกันมาก ขนมถึงดูน่ากินทุกร้ายเลย เดินต่อจากร้านเบเกอร์รี่แป๊บเดียวก็ถึงที่พัก ตอนแรก Darwa บอกว่าที่พักนี้มีห้องน้ำในตัวด้วย ถ้าจ่ายเพิ่ม เรากับคุณหนูตกลงกันว่าจะเสียตังเพิ่มแต่ปรากฎว่าห้องเต็ม พวกเราเลยอด เรากับคุณหนูดูมีความต้องการที่คล้ายกันในหลายๆเรื่อง ทุกเย็นเมื่อถึงที่พักเรากับคุณหนูจะต้องหาที่ซื้อน้ำเปล่าหลายๆขวดเหมือนกัน ระหว่างเดินพวกเราก็จะพูดถึงว่าถ้าไปถึง EBC แล้ว อยากนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับลงมา จริงๆคุณหนูเค้ามีเหตุผลของเค้า เพราะเค้ามีปัญหาที่หลัง ทริปนี้เป็นทริปผจญภัยครั้งสุดท้ายของเค้าก่อนไปรักษาตัว ส่วนตัวเราตั้งแต่เรื่มปวดหัวก็เริ่มเกิดความกลัวว่าจะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่งรึป่าว เลยมีการแอบคิดถึงเฮลิคอปเตอร์อยู่เรื่อยๆ ทั้งนี้ ต้องบอกก่อนว่าถ้าไม่ได้เจ็บป่วยแบบจริงๆจัง เรียกเฮลิคอปเตอร์มาจะต้องเสียตังเพิ่มเองไม่สามารถเบิกประกันได้นะ วันนี้เราก็ต้องเสียเงินอาบน้ำอีกครั้ง เพราะเราประจำเดือนมา เลยรู้สึกว่าต้องการทำความสะอาด เราเสียเงินอาบน้ำจนถึงที่ Dingboche เพราะ Darwa บอกว่า หลังจาก Dingboche แล้วไม่ให้อาบแล้ว และก็เหมือนทุกๆวัน เรากินข้าวเย็น นั่งคุยเล่นกัน แล้วเข้านอน

Day 6 Tengbongche to Dingboche

วันนี้ตื่นเช้า มีน้องหมามารอรับอยู่หน้าบ้าน พวกเราแต่งตัว พร้อมเดินระยะทาง 11 กม. สู่ Dingboche ที่ระดับความสูง 4,400 เมตร เราเริ่มมีอาการปวดหัวเพิ่มมากขึ้น และอาการปวดหัวเริ่มย้ายไปด้านหลัง ซึ่ง Darwa บอกว่าต้องคอยสังเกตอาการดู เพราะการปวดหัวด้านหลัง ถือเป็นเรื่องไม่ค่อยปกติแล้ว แต่เราก็ยังไม่มีอาการอย่างอื่น ทางวันนี้ที่เดินในช่วงเช้า ไม่ค่อยเหนื่อยมาก อาจเป็นเพราะไม่ค่อยมีทางชัน เดินเลียบๆผ่านแม่น้ำ Imja Khol ระหว่างทางมีสถูป ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างแปลกตา คือเหมือนเจดีย์สีขาวๆแล้วมีดวงตาเขียนอยู่ Darwa บอกเราว่าเป็น Buddha’s Eyes ที่คอยมองลงมา เพื่อปกป้องผู้เดินทาง ทางจะมีขึ้นๆลงๆอยู่บ้าง วันนี้ลมค่อนข้างแรง โดยเฉพาะตอนที่เดินสูงขึ้นจากแม่น้ำ เราแวะพักกินอาหารกลางวันระหว่างทางที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง เราสั่งข้าวแกงกะหรี่กับมักกะโรนีมากินกัน

ในช่วงบ่ายเราเดินทางต่อ ทางค่อนข้างลำบาก เพราะเริ่มไต่ระดับเพื่อขึ้นไปสู่ Dingboche ทางเดินค่อนข้างแห้งแล้ง ดูเป็นหินๆ และลมแรง เราเดินไปเรื่อยๆ ก็มองเห็นตัวเมือง Dingboche อยู่ด้านหน้า พอเดินเข้าใกล้เมืองเรื่อยๆก็จะผ่านสถูปสีขาวที่ตั้งอยู่โดดเด่นเป็นสง่า เราเข้าที่พักเพื่อเก็บของ และเดินออกมาเจอกับไอ้เท่และไอ้พูดไม่รู้เรื่องที่กำลังจะไปกินที่ร้าน French Bakery ที่พวกเราเห็นตั้งแต่ตอนเดินเข้าเมืองมา ตอนนี้ลมแรงมาก พัดอย่างรุนแรงสุดๆ ฝุ่นที่เยอะอยู่แล้วในทุกๆวัน วันนี้ดูเหมือนจะเยอะเป็นพิเศษ ทุกๆวันเราจะเอาทิชชู่เปียกเช็ดหน้า ขนาดเราใส่ Buff กันเกือบตลอดเวลา ต้องใช้ทิชชู่เปียกเช็ดประมาณวันละ 4 แผ่น หน้าถึงจะสะอาดไร้ฝุ่น ที่ร้าน French Bakery มีตัวเลือกให้เลือกมากมาย ขนมร้านนี้ทำอร่อย เรานั่งกินและคุยเล่นกับ 2 คนนั้น ระหว่างนี้ คนอื่นๆส่วนใหญ่ในกลุ่มจะไปดูหนังเรื่อง Everest ซึ่งจะมีรอบฉายประมาณ 3 โมงของทุกวัน

หลังจากกินเสร็จ เราไปนั่งนอนเล่นอยู่บนห้องนอน จนถึงเวลาอาหารเย็น วันนี้สั่งปอเปี๊ยะทอดกับเบอร์เกอร์ผักมาเป็นอาหารเย็น หลังกินข้าวเสร็จ เรามีนัดกับเหมันต์และไอ้พูดไม่รู้เรื่องไปถ่ายรูปดาวตอนกลางคืน สองคนนี้เป็นตากล้องแบบจริงจัง ซึ่งต่างจากเรา 2 คนที่เป็นมือสมัครเล่น ครั้งนี้เป็นการถ่ายรูปดาวครั้งแรกของพวกเรา เรามีการจดวิธีตั้งค่ากล้องมาแล้วบ้าง และก็มีให้ 2 คนน้้นช่วยดู ตอนพวกเราถ่ายติดดาว รู้สึกตื่นเต้น และคิดว่ามันสวยมากๆ แต่เหมันต์มาดู พร้อมกับซูมเข้ามาใกล้ๆ แล้วบอกพวกเราว่าใช้ไม่ได้ ดาวเบลอ เพราะหลุดโฟกัส เราก็ไม่รู้เรื่องหรอก พยายามถ่ายใหม่อีกหลายครั้ง พอซูมดูก็ยังหลุดโฟกัสอยู่ พวกเราถ่ายกันอยู่พักใหญ่ จนเริ่มรู้สึกหนาวจนจะป่วย เลยขอตัวเข้ามาหลบในที่พักก่อน ปล่อย 2 คนนั้นถ่ายกันต่อไป พอเอารูปกลับเข้ามาดูในห้อง เราสองคนก็รู้สึกพอใจแล้ว รูปอาจจะไม่สวยสำหรับโปรเฟสชั่นนอล แต่ก็สวยพอสำหรับเรา 2 คน วันนี้อาการปวดหัวด้านหลังของเรายังคงอยู่ ส่วนอีกคนไม่เป็นอะไรเลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็นอนหลับไป

Day 7 Dingboche Acclimatization Day

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่ต้องแพ็คกระเป๋า เพราะเป็นวันพักปรับตัวให้ชินกับความสูงที่ระดับ 4,400 เมตร เริ่มมื้อเช้าวันนี้ด้วยแพนเค้กแสนอร่อย อาการปวดหัวยังคงอยู่ไม่หาย Darwa คอยมาถามอาการอยู่เรื่อยๆ Darwa เห็นยังกินอาหารได้ปกติ ก็บอกว่าไม่น่าจะเป็นอะไร ตอนนี้สภาพทุกคนในทริปยังดูปกติดีไม่มีใครเป็นอะไร มีแค่สปีดในการเดินของบางคนที่เริ่มตกลงบ้าง ปวกเปียกย้ายจากกลุ่มผู้นำมาอยู่กลับกลุ่มคนเดินช้าอย่างพวกเรา วันนี้การเดินเป็นการออกเดินในช่วงเช้าแค่สั้นๆ ไปชมวิวยอดเขาหลายยอดเขาที่ยังคงจำชื่อไม่ได้อยู่ดี เดินได้ไม่เท่าไหร่ก็กลับมากินข้าวเที่ยงที่ที่พัก มื้อนี้สั่งข้าวแกงกะหรี่กับสปาเก็ตตี้มากิน หลังจากนั้น ก็เป็นเวลาพักผ่อน เราสองคนตัดสินใจเดินไปที่ French Bakery อีกครั้ง ด้วยความที่ติดใจในรสชาติ ขาไปลมยังคงแรงมากอยู่เหมือนเดิม อาจเป็นเพราะที่ Dingboche ดูเป็นที่ราบๆ ลมเลยอาจพัดมาได้เต็มที่ สุดท้ายลมสุดแรง ก็สร้างปัญหา พัดฝุ่นเข้าตาคนที่มาด้วยเรียบร้อย ใช้เวลาอยู่นาน ตอนแรกเอาน้ำดื่มในขวดมาล้าง แต่ก็ไม่ดีขึ้น ก็เลยไปขอเค้าล้างที่ครัวด้วยความเกรงใจ เพราะเข้าใจว่าน้ำข้างบนนี้น่าจะราคาแพง แต่ฝุ่นก็ยังไม่ยอมออก ทำให้เจ็บตามาก พอกินเสร็จเลยรีบกลับที่พัก พยายามล้างตาต่อไป จนสุดท้ายก็ต้องนอนพักไป เพราะเจ็บตามาก หลังจากพักแล้วตื่นมาล้างตาอีก ก็โชคดีที่ฝุ่นยอมออกจากตาไปได้ นั่งๆนอนๆไม่เท่าไหร่ ก็ถึงเวลาอาหารเย็น เย็นนี้สั่งพิซซ่ากับข้าวผัดมากิน พอกินเสร็จก็รีบขึ้นห้องเพราะอาการปวดหัวเริ่มเป็นมากขึ้น อากาศในห้องหนาวเย็นมากจนรู้สึกทรมาน ตอนนี้ใส่ชุดแบบเต็มยศ ทุก Layer ที่มีถูกใส่หมด แล้วก็ต้องเข้าไปนั่งอยู่ในถุงนอน ตอนนี้ต้องพยายามสะกดจิตตัวเองไม่ให้ปวดฉี่ เพราะการลุกไปเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งจะเป็นความทรมานอย่างมาก วันนี้เป็นวันที่เริ่มตัดสินใจเพิ่ม Dose Diamox เป็นกินหนึ่งเม็ดทุก 12 ชั่วโมง เพราะอาการปวดหัวเริ่มเป็นค่อนข้างหนัก Darwa แนะนำว่าไม่ควรกินยาแก้ปวด เพราะจะไปกดอาการและทำให้เราไม่รู้ตัวว่าเป็นหนักแล้วรึยัง ความปวดหัวเริ่มสร้างความกังวลใจ เพราะว่ากลัวจะเป็นหนักขึ้น และไปไม่ถึง เขียนไปถามเพื่อนที่เป็นหมอฟัน ที่เคยมาเทร็คก่อนหน้าว่ามีอาการแบบนี้มั๊ย เพื่อนก็บอกว่ามีอาการเฉพาะตอนขึ้นยอด Island Peak อาการไม่เหมือนกัน แต่เพื่อนบอกว่าแกนสมองอาจจะเริ่มบวม ฟังเสร็จก็รู้สึกหนักใจ แต่ก็พยายามรักษาตัวให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ วันนี้ก็กินน้ำไปเกือบ 4 ลิตร จากทุกวันที่กินประมาณ 2-3 ลิตร นอนหลับไปพร้อมกับหวังว่าร่างกายจะไหวจนถึงจุดหมาย


Day 8 Dingboche to Lobuche

วันนี้ยังคงตื่นมาพร้อมกับความปวดหัว อาหารมื้อเช้าเลือกแพนเค้กเหมือนเดิม เพราะติดใจในความอร่อย ท้องฟ้า ยังคงสดใสเหมือนทุกวัน วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น แดดและลมแรง พวกเราแต่งตัวเต็มยศตลอด แม้ว่าจะเดินไปมา ก็ไม่ได้ถอดเสื้อออกเลย Darwa เข้ามาเช็คอาการเหมือนทุกวัน Darwa บอกให้เราเดินช้าลง และไม่จำเป็นต้องพยายามเดินให้ทันตามกลุ่มผู้นำ จริงๆการเดินกับกลุ่มผู้นำ นี่ก็เหมือนมีความกดดันให้เราเดินเร็วขึ้นเหมือนกัน คือทุกๆวันพอเริ่มเดิม กลุ่มผู้นำจะค่อนข้างทิ้งห่างจากพวกเราประมาณ 500 เมตรหรือมากกว่านั้น กลุ่มผู้นำนี่จะเดิน แล้วก็มีหยุดพักบ้าง ซึ่งพอพวกเค้าหยุดพัก ก็จะเป็นตอนที่พวกเราเดินตามทัน พอพวกเราเดินตามทันไปถึง เค้าก็จะลุกเดินต่อ ทำให้บางทีเรารู้สึกว่าเราต้องรีบพัก รีบเดินตามให้ทัน จริงๆเราสองคนก็คุยกันอยู่ว่า ไม่รู้จะรีบเดินทำไม เพราะทุกวันพวกเราจะไปถึงที่พักค่อนข้างเร็ว ประมาณบ่าย 2 บ่าย 3 พอถึงจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำ ก็ได้แต่หนังอ่านหนังสือ คุยเล่นกัน รอให้ถึงเวลาอาหารเย็น พอเริ่มออกเดิน กลุ่มผู้ตามก็มีสมาชิกเพิ่มมาอีกสองคนคือ Marcus กับ Aisha วันนี้กลุ่มผู้นำก็ดูลดสปีดฝีเท้าลง มีการหยุดถ่ายรูปบ้าง จากเดิมที่ไม่เคยหยุดถ่ายรูปเลย วันนี้อาการของทุกคนก็ยังดูดี ดูเป็นปกติ ยกเว้น Aisha ที่ดูเหนื่อยกว่าทุกวัน

เส้นทางวันนี้ระยะทางประมาณ 11 กม. เดินขึ้นสู่ระดับความสูงที่ 4,900 เมตร ระหว่างทางจะเห็นวิวภูเขาอยู่รอบทิศทาง เราสองคงยังคงบอกไม่ได้อยู่ดีว่ายอดไหนชื่ออะไร จำได้แต่ชื่อเช่น Pumori Lobuche Nuptse

ทางเดินค่อนข้างเป็นหินเยอะตลอดทาง รู้สึกนึกขอบคุณคนที่คิดเทรคกิ้งบูทมาเลย คือเดินยังไงก็ไม่พลิก เตะก้อนหินยังไงก็ไม่เจ็บ ทางเดินไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดสูงสุดของ Dughla Pass ที่นี่จะเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงคนที่เสียชีวิตระหว่างพยายามขึ้นสู่ยอดเขา Everest

เดินอยู่ไม่นาน เราก็ถึง Lobuche เร็วกว่าที่คิดเอาไว้ ที่พักวันนี้ชื่อ Oxygen Altitude เป็นที่พักที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เราพักมา สะอาดสะอ้าน อันนี้คือพูดถึงห้องน้ำเป็นหลัก เพราะที่ผ่านมาอุปสรรคอาจจะเป็นห้องน้ำ ตอนกลางคืนทุกที่พักที่เราไปจะเหมืิอนมีน้ำไม่พอ เพราะกลางคืนน้ำจะแข็ง ไม่สามารถออกจากท่อได้ ที่พักเค้าจะมีการยกถังน้ำมาตั้งให้ เพื่อให้มีน้ำราด แต่บางที่พอคนเยอะๆน้ำก็จะไม่พอ ดังนั้นพอตอนดึกๆถ้าออกไปเข้าห้องน้ำ ก็อาจจะพบเจอกับภาพไม่น่ามองได้ แต่ที่นี้ ถึงแม้จะอยู่สูง แต่เหมือนเจ้าของเค้าเตรียมน้ำไว้หลายถังทำให้น้ำพอราด ถึงแม้กลางคืนน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ก็ยังมีส่วนที่เป็นน้ำพอตักราดได้อยู่บ้าง ตอนที่เราเพิ่งมาถึงเราสั่งป็อปคอร์นมากินด้วย เป็นเมนูที่เพิ่งเคยเห็น ตั้งแต่ขึ้นมา ทุกคนตื่นเต้นมาแย่งกินกันใหญ่

วันนี้ตกกลางคืน เรายังมีแรงเหลือ มองออกไปด้านนอกหน้าต่างเห็นดาวเต็มท้องฟ้า เลยพยายามถ่ายรูปจากในห้องนอนออกไปข้างนอก รูปที่ได้ดาวก็ยังคงหลุดโฟกัสเหมือนเดิม พอถ่ายเสร็จก็เข้านอนไปพร้อมกับความปวดหัว

NooChan Written by:

Journey diary for a forgetful person, like myself!!

Comments are closed.