Xin Chào

ทริปนี้ได้เกิดขึ้นแบบง่ายๆ โดยมีการวางแผนล่วงหน้าประมาณ 10 วัน หลังจากตัดสินใจเลือกประเทศใกล้ๆ เพราะมีโจทย์จากผู้ร่วมทางว่าหยุดงานได้เต็มที่ 2 วัน เลยเลือกไปในช่วงนี้ ที่มีวันหยุดวันมาฆบูชา เวียดนามก็ดูเป็นประเทศที่น่าสนใจ เพราะใช้เวลาในการเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมง จากการหาข้อมูล การไปเที่ยวเวียดนามสามารถแบ่งออกได้เป็นเส้นทางหลักๆ 3 เส้นทาง เวียดนามเหนือ (Hanoi / Halong Bay / Sapa / Fansipan) เวียดนามกลาง (Danang / Hoi An / Hue) และเวียดนามใต้ (Ho Chi Minh City / Dalat / Muine)

ตอนแรก เวียดนามเหนือ ดูเป็นตัวเลือกที่มาแรง แซงทางโค้ง เพราะมี Halong Bay ที่เห็นจากในรูปแล้วอยากไปมาก แต่หลังจากไปอ่านในพันทิพ แล้วรู้ว่าจะต้องไปเผชิญกับการต้องต่อรองกับทัวร์ รถ เรือ และอื่นๆ ซึ่งเพิ่มโอกาสให้โดนหลอกมากมาย ประกอบกับความวุ่นวายจากนักท่องเที่ยวที่เยอะ ความอยากไปก็หายไปทันที ในส่วนของเวียดนามกลางก็แถบไม่ได้หาข้อมูลอะไรมาก เพราะดูคร่าวๆแล้วก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ในส่วนของเวียดนามใต้ จุดที่จะดูเป็นที่ดึงดูดมากสุดก็คือ Sand Dune ที่ Muine แต่นั้นก็ไม่ใช่จุดดึงดูดที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกไปเวียดนามใต้

สิ่งที่ดึงดูดให้เลือกไปที่เวียดนามใต้นั้นก็คือ ร้านหอย Oc Dao

ซึ่งเป็นร้านอาหารขายหอยที่เราได้ดูรีวิวมาจากรายการทริปกินแหลกล้างโลก Ho Chi Minh City และเป็นที่มาของการกินในหลายๆร้านของทริปนี้

เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไปเวียดนามใต้ สิ่งที่ต้องคิดต่อคือจะไปไหนบ้าง หลังจากลองอ่านดู ที่ท่องเที่ยวไฮไลท์แต่ละแห่งในเวียดนาม จะต้องนั่งรถออกไปอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง ซึ่ง Muine และ Dalat ก็เป็นเหมือนกัน เราเลยมาคุยกับแฟนว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี สุดท้ายก็สรุปได้ว่า การไปเวียดนามใต้ 4 วัน และจะอยู่แต่ใน HCMC ซึ่งไม่ได้มี Tourist Attraction อะไรมากมายก็อาจทำให้ว่างเกินไป สุดท้ายจึงตัดสินใจได้เราควรจะไปสักเมืองนึง จึงตัดสินใจไปที่ Muine

ก่อนออกเดินทางต้องขอบอกก่อนว่า หลายๆรีวิวที่อ่านไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือฝรั่ง ทุกคนจะต้องพูดถึงการโดนโกงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราสองคน เตรียมใจไว้ในระดับนึงแล้วว่าจะต้องโดนหลอกหรือโดนโกงที่ไหนสักจุด

ทริปนี้มีเพื่อนร่วมทางเพิ่มมาอีกหนึ่งคน คือ เพื่อนของแฟน ทำให้การเดินทางครั้งนี้มีผู้เดินทางทั้งหมด 3 คน ซึ่งถือว่าช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ในระดับนึง เพราะการจองห้องและทุกอย่างก็จะหาร 3 ไม่ใช่หาร 2 เหมือนทุกที ครั้งนี้ สิ่งที่จองไปล่วงหน้าคือ ตั๋วเครื่องบินกับโรงแรม ที่เหลือก็ไปจองเอาข้างหน้าหมดเลย

Day 1 BKK – HCMC – Muine

เช้าวันนี้ตื่นมาอย่างเช้าตอนตี 4 (จริงๆต้องอย่างเรียกว่าตื่นเลย เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน) เพื่อเตรียมตัวไปสนามบินให้ทันไฟล์ทแรกของ Air Asia  FD650 ที่ออกเดินทางไปยัง HCMC ตอน 7.35 น. เราสองคนถึงสนามบินตามเวลาที่กะไว้คือประมาณ 6.15 น. สนามบินด้านนอกคนไม่เยอะมากอย่างที่คิด แต่ข้างใน Gate คนเยอะกว่าที่คิดไว้มาก ทั้งคนไทย คนจีน แขก หนาแน่นคับคั่ง จนไม่มีที่ให้นั่งรอ เสียงคุยกันดังโขมงโฉงเฉงไปทั่วบริเวณจนแทบจะฟังกันเองไม่รู้เรื่อง โชคดีที่รอไม่นาน พนักงานก็ประกาศเรียกขึ้นเครื่อง บินประมาณชั่วโมงสี่สิบห้านาทีก็ถีงที่ท่าอากาศยาน Ton Son Nhat

สิ่งแรกที่คิดไว้ว่ามาถึงแล้วต้องทำก็คือการซื้อซิมการ์ดซึ่งพอเดินผ่านศุลกากรออกมา ก็มีป้ายติดขายซิมการ์ดอยู่หลายร้านเรียงรายกันอยู่ในสนามบิน เราเดินมองดูป้ายเพื่อสำรวจราคากันก่อน โดยอ่านรีวิวมาแล้วว่าจะซื้อของ Mobifone ยังไม่ทันจะเดินสำรวจครบทุกร้าน มีเจ๊ผู้หญิงคนนึงก็ตะโกนเรียกพวกเราจากในร้านว่าจะซื้อซิมการ์ดรึป่าว ที่นี่มีขายนะ พร้อมกับยื่นป้ายราคาให้ดู แต่เรื่องราคาก็ไม่รู้หรอกนะว่าถูกหรือแพงเพราะตอนดูรีวิวไม่ได้จำราคามา แต่ก็เป็นอันตกลงซื้อไปเรียบร้อยที่ราคา VND199,000 (หน่วยเงินที่นี่เวลาเค้าเรียกกันจะตัดศูนย์ 3 ตัวหลังออกเพื่อความสะดวก) ระหว่างที่ยืนรอให้เจ๊เปลี่ยนซิมให้ เจ๊ก็ใช้ความสามารถในการขายของ ชวนพวกเราคุยว่านี่จะไปไหนกันหรอ ที่นี่ก็มีบริการแท๊กซี่นะ เราเลยตอบไปว่าจะไป Muine เค้าก็บอกว่านี่เดี๋ยวเค้าลดราคาให้ เพราะพวกเราซื้อซิมกับเค้า เค้าก็คิดให้ดูเป็นแบบรายคนว่าเนี่ยปกติคนละ 100 กว่าเหรียญ เนี่ยลดให้ 20% เหลือคนละเท่านี้เหรียญ แล้วก็ลดให้อีกคนละ 1 เหรียญนะ เพราะว่าพวกเราซื้อซิมไป ตกออกมาคันละ USD87 เราก็จำได้ว่าตอนอ่านมาจากพันทิพราคาจะตกอยู่ประมาณ USD80-90 เราก็อยากได้ถูกที่ USD80 เลยลองต่อไปว่าลดให้ดีอีกรึป่าว แต่เจ้ก็บอกว่าไม่ได้แล้ว นี่เป็นการลดให้สุดๆแล้ว ให้ลองเดินถามแถวนี้ตกไหนดูก็ได้ ไม่มีตรงไหนถูกกว่านี้แล้ว พวกเรามองซ้ายมองขวา ให้เพื่อนเดินไปถามร้านข้างๆเค้าบอกว่าคิดที่ USD110 (แต่นี้ก็คือยังไม่ได้ต่ออะไรนะ) พวกเราด้วยความขี้เกียจ ประกอบกับท่าทางที่น่าเชื่อถือของเจ้ ก็ขี้เกียจไปเดินให้คนอื่นหลอก ก็เลยตกลงกับเจ้เรียบร้อย ซึ่งราคานี้เป็นราคาแค่ส่งอย่างเดียว ไม่รวมพาไปเที่ยวที่อื่น แต่สามารถขอคนขับพักกินข้าวหรือเข้าห้องน้ำระหว่างทางได้ สรุปว่าจ่ายเงินให้เจ้ค่ารถไปทั้งหมด 2 ล้านดอง สรุปแล้วแฟนบอกว่าที่เจ้บอกว่าลดให้เหรียญนึง จริงๆคือไม่ได้ลดอะไรให้หรอก เพราะว่าตอนถอนตังค่าซิมถอนมาไม่ครบ ที่ลดราคาไปก็คือตังทอนค่าซิมนั่นเอง เราก็งงไปเลยเห็นเจ้พูดหลายรอบซะดิบดี แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ความสบายใจจากหน้าตาของเจ้ เจ้รับเงินเรียบร้อยก็ชี้ทางพร้อมยกรูปขึ้นมาโชว์ว่าออกจากสนามบินให้เดินไปทางขวาหน้าประตูที่ 3 จะเจอบู๊ธแบบในรูปให้เอาใบเสร็จรับเงินไปยื่นแล้วรอรถที่ตรงนั้น

ออกมานอกสนามบินก็ตกใจเล็กน้อย มีคนถือป้ายรออยู่เต็มไปหมด คนเดินพลุกพล่านวุ่นวายมาก นึกในใจว่าดีนะที่ได้จองรถกับเจ้ไปแล้ว ไม่ต้องออกมาฟาดฟันหาเอาข้างนอกท่ามกลางความวุ่นวาย พวกเราเดินไปตามที่เจ้บอกก็เจอกับบู๊ธหน้าตาตามรูป ยื่นใบเสร็จให้ คนที่บู๊ธก็พาเราไปเจอกับคนขับรถ รถที่พวกเราได้เป็นยี่ห้อ Mitsubishi รุ่นอะไรไม่รู้ แต่หน้าตาเหมือนกับในรูปที่เจ้โชว์ให้ดูครั้งแรกที่เป็น Toyota Innova สภาพรถใช้ได้ ไม่ใหม่ แต่ก็ไม่เก่ามาก เสียอย่างเดียวที่รถเหมือนจะติดฟิลม์ไม่เข้ม ทำให้ระหว่างทางจะร้อนแดดบ้างถ้าแดดส่องมาโดนตรงที่นั่งอยู่ คนขับรถเหมือนถามทวนเส้นทางอีกทีว่าไปโรงแรมไหน ก็เลยบอกไปว่า Muine Bay Resort ซึ่งทำให้ค้นพบว่าคนขับรถพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สื่อสารแบบงงๆเล็กน้อย แต่ก็ยื่นที่อยู่ในมือถือให้ดูไป เค้าก็ดูโอเค

รถเดินทางออกจากสนามบินเพื่อมุ่งหน้าสู่ Muine รถติดมาตลอดทางระหว่างที่อยู่ในตัวเมือง รถมาโล่งอีกทีก็คือตอนที่กำลังจะขึ้น Highway ซึ่งเป็นช่วงที่เราบอกกับคนขับด้วยภาษามือว่าขอกินข้าว คนขับรถพยักหน้าดูเข้าใจ พาพวกเรามุ่งหน้าต่อขึ้น Highway ซึ่งสองข้างทางหลังจากที่หลุดจากตัวเมืองก็ไม่มีอะไรเลย เห็นแต่สวนปาล์ม กับสวนยางสลับกันอยู่สองข้างทาง ขับมาได้สักเกือบ 2 ชั่วโมง คนขับรถก็พาออกจาก Highway ลงมา Local Road การขับรถของคนที่นี้ ถือว่าใช้ความจิตแข็งขับรถอย่างเดียว โดยคนที่นี่ขับรถแบบอยากทำอะไรก็ทำ อยากเลี้ยว กลับรถตรงไหนก็ทำเลย สิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นก็คือจะได้ยินเสียงคนบีบแตร บางทีก็บีบแบบสั้นๆ บางทีก็บีบแบบเสียงดังยาว แต่คนที่นี่ไม่ได้สนใจอะไร ทำอะไรอยู่ก็ทำต่อไป ใช้จิตเข้าสู้ หรือว่าอย่างที่คนขับรถเราทำ คือการแซงโดยไม่สนว่าจะมีรถอยู่อีกเลนนึงรึป่าว ด้วยความที่เลนของถนนเส้นนี้เป็น 2 เลนสวนกัน แล้วมีรถบรรทุกขับช้าเยอะ คนขับจะต้องแซงออกซ้าย ซึ่งเป็นเลนของรถที่มาจากอีกทางตลอด โดยเราซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่หลับอยู่ในรถต้องนั่งรอลุ้นมาก คือคนขับจะแซงออกซ้าย พอเห็นว่ามีรถข้างหน้ามา ก็ยังขับต่อไป ขับจนบางทีใกล้มาก จนเหมือนจะชน ก็จะค่อยหารูแทรกกลับเข้ามาทางขวา สุดท้ายถ้ากลับขวาไม่ได้จริงๆก็จะออกซ้ายสุดไปไหล่ทาง แล้วค่อยแซงกลับเข้ามา ซึ่งดูจากวิธีขับแล้วไม่ได้เป็นที่คนขับรถของเราคนเดียว แต่ก็เป็นกันทั้งถนน  นั่งดูอยู่สักพัก เข้าใจว่าที่ไม่มีรถชน หรืออุบัติเหตุ เพราะทุกคนจิตแข็งมาก ขับแบบไม่มีการชะลอ หรือยึกยัก คือถ้าเป็นที่ไทยคนขับจะต้องกลัว รีบอยากแทรกเข้าขวา หรือถ้าเห็นใกล้กันมากๆก็อาจจะตกใจหักหลบลงไหล่ทาง แต่ที่นี่ทุกคนเฉยมาก จะใกล้ชนแค่ไหน ก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คนขับรถพาเราแวะเข้าข้างทางหันมาพูดว่าเฝอ โอเค? มองดูจากสภาพร้านสะอาดสะอ้านดี ประกอบกับมีห้องน้ำ พวกเราก็เลยตอบว่าโอเค รสชาติเฝออร่อยใช้ได้เลยทีเดียว มีผักสดและเครื่องเคียงมาให้เต็มไปหมดตามมาตรฐานของเฝอที่เวียดนาม หลังกินเสร็จแฟนเราจะจ่ายเงิน และจ่ายให้ในส่วนของคนขับด้วย ถามป้าว่าราคาเท่าไหร่ ป้าบอกว่าชามละแสนดอง จุดนี้แหละที่เริ่มตะหงิดๆว่าโดนหลอก เพราะไม่คิดว่าเฝอที่ร้านข้างทางในชนบทจะราคาขนาดนี้ แต่ด้วยความที่เค้าก็ไม่ได้มีติดป้ายราคาไว้ ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ได้ ประกอบกับความขี้เกียจทะเลาะก็เลยยอมจ่ายไปแต่โดยดี พอใกล้จะออกจากร้านยิ่งชัดใหญ่ ป้าเอาซองอั่งเปามาให้กับคนขับรถ เลยคิดว่าคนขับรถได้เปอร์เซนต์ไปเรียบร้อย และก็เลยคุยกันกับแฟนว่าจะไม่มีการให้ทิปกับคนขับรถแล้ว เพราะนี่ถือว่าเป็นการให้ทิปไปเรียบร้อย ระหว่างทางที่ไปพยายามมองดูร้านอื่นๆเห็นติดไว้ว่าเฝอไก่ราคา 20,000 ดอง เราก็ยังคิดไปปลอบใจตัวเองว่าป้าอาจจะไม่ได้หลอกเราเยอะขนาดนั้น เพราะของป้าเป็นเฝอเนื้อ แล้วให้เนื้อมาแบบอัดเต็มมาก (ต้องบอกว่าอยู่ในเวียดนาม 4 วันไม่เคยเห็นเฝอที่ไหนให้เนื้อเยอะเท่าเฝอของป้า แต่ก็ไม่มีร้านไหนคิดแพงเท่าของป้า ขนาดร้านสุดท้ายที่ไปกินอยู่ในตัวเมือง HCMC ร้านติดแอร์ ชามนึงก็คิดราคา 97,000 ดอง ใกล้เคียงกับของป้ามากสุดแล้ว แต่ให้เนื้อน้อยกว่า)

หลังจากนั้นเราก็ตรงดิ่งยาวมุ่งเข้าสู่โรงแรมที่ Muine Bay Resort พอมาถึงคนขับรถก็ทำท่าว่าขอทิป ทุกคนทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินเข้าโรงแรมไปเลย (บ๊ายบายนะคนขี้โกง :P) พอเข้ามาในโรงแรมดีใจมากรู้สึกว่าเลือกไม่ผิดเลย โรงแรมดูดีกว่าที่คิดไว้มาก โรงแรมคืนละ 2,600 บาท แต่หน้าตาดูดีกว่ามากมาย รู้สึกถึงความสงบ หลังจากผ่านการโดนโกงและความวุ่นวายบนท้องถนนมา

เราตัดสินใจลองถามโรงแรมดูว่ายังมีทัวร์ที่ไปเที่ยวสถานที่รอบๆอยู่มั๊ยตามที่อ่านมาที่ท่องเที่ยว Basic ของที่นี่ก็คือ White Sand Dune, Red Sand Dune, Fairy Stream และก็ Fisherman Village โรงแรมติดราคาไว้บอกว่าค่าทัวร์ตกคนละ 960,000 ดอง เป็นทัวร์รถจี๊ป ระยะเวลาทั้งหมด 4 ชั่วโมง เราเห็นราคาก็รู้เลยว่าแพง เพราะที่อ่านมาเห็นบอกว่าแพงสุดน่าจะอยู่ที่คนละ 200,000 ดอง แต่ด้วยความที่พวกเราก็คิดว่าไม่อยากออกไปถูกโดนหลอกที่ไหนเลยตกลงว่าไปกับโรงแรมก็ได้ แต่ปรากฎว่าทัวร์เต็ม จะมีอีกทีก็คือตอนเช้าซึ่งต้องออกตั้งแต่ตี 4 เรา 3 คนมองหน้ากัน แล้วก็คิดว่าให้ตื่นตี 4 มาก็คงไม่ไหวหรอก เลยถามโรงแรมว่าจะพอมีรถเช่าที่เรียกไปได้มั๊ย ไปแค่ White Sand Dune กับ Red Sand Dune ก็ได้ เพราะคิดว่า Fairy Stream กับ Fisherman Village อยู่ใกล้กับที่พักมากค่อยแวะไปอีกทีพรุ่งนี้เช้าก็ได้ โรงแรมเลยโทรเรียก Taxi ให้ กลายเป็นว่าแท๊กซี่คิดแค่ 400,000 ดอง บอกพาไปกลับไม่เกิน 3 ชั่วโมง ระหว่างนั่งรถไปก็เริ่มคิดว่าโชคดีที่จองทัวร์ไม่ได้ตั้งแต่ที่แรก อย่างน้อยก็ดูประหยัดไปได้มาก แถมได้นั่งรถแอร์ไปอีก เพราะถ้าเป็นทัวร์จะต้องนั่งรถจี๊ป ถึงจะดูเท่และได้บรรยากาศกว่ามาก แต่ก็คงไม่ไหวเพราะตอนนั้นประมาณบ่าย 3 โมง แดดยังแรงอยู่ ขนาดนั่งในรถแอร์ แดดส่องมาโดนยังร้อนเลย

จุดแรกที่แวะคือ White Sand Dune ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ไกลจากโรงแรมมากสุดประมาณ 30 กม. จุดนี้มีเสียค่าเข้าชม คนละ 15,000 ดอง  พอเข้าไปแท๊กซี่บอกเราว่าจะจอดรออยู่ตรงนี้ ให้เวลาเราประมาณชั่วโมงนึง ตรงนี้จะมีคนมาชวนให้เช่ารถ ATV บอกว่าคันนึงนั่งได้ 2 คน คิดคันละ 1.2 ล้านดอง พาไปทั่วๆประมาณครึ่งชั่วโมง พร้อมกับบอกว่าเดินเที่ยวเองก็ดูได้ไม่ครบนะ เพราะที่นี่กว้างมาก ต้องนั่ง ATV อย่างเดียวถึงจะครบ เดี๋ยวจะพาไปจุดชมวิวที่ยอดเลย พวกเราคุยกันว่า 1.2 ล้านดองนี่มันแพงมากเลย ประกอบกับพวกเราก็เฉยๆไม่ได้อย่างเล่นอะไรมาก ก็เลยไม่ได้สนใจมาก คนขายก็เริ่มลดราคาลงมาให้เอง ตอนแรกบอกล้านดอง พวกเราก็บอกไม่เอา เราลองต่อมั่วๆไปบอกว่า 5 แสนดอง เค้าก็ไม่ให้ สุดท้ายลดให้ที่ 8 แสนดอง แต่พวกเราก็ไม่เอาอยู่ดี สุดท้ายก็คือ เดินไปกันเอง จริงๆก็คือจริงอย่างเค้าว่า ว่าที่มันกว้างมากเดินเองไม่ครบแน่ๆ แต่จริงๆคิดว่าไม่ได้จำเป็นต้องเดินให้ครบ เพราะมันก็สวย แล้วก็ดูเหมือนกันทุกจุด พวกเราเดิน วิ่งเล่นด้วยความสนุกสนาน ทรายนุ่ม ละเอียดมาก ถึงแม้แดดจะแรงมาก แต่ก็ไม่ได้ร้อนมากเพราะมีลมพัดผ่านมาเรื่อยๆ จุดนี้สิ่งที่ต้องระวังมีอย่างเดียวคือ ATV คือเค้าจะขับกันมาเร็วมาก แต่ก็จะเป็นพวกพนักงานของที่เช่า ATV ที่เป็นคนขับ บางทีมันเป็นเนิน เค้าขับมาจากเนินอีกฝั่งก็ไม่เห็นคนที่เดินอยู่หรอก แต่ก็ตามสไตล์ความจิตแข็ง เค้าขับมาเร็วๆ พอเห็นเราอยู่ด้านหน้าเค้าก็ไม่ได้ตกใจอะไร หักหลบเอง ทั้งๆที่เราตกใจแทบแย่ว่าจะโดนชน เดินเล่นถ่ายรูปสักพัก พวกเราก็กลับขึ้นรถเพื่อไปที่ต่อไป

จุดต่อไปคือ Red Sand Dune ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม จุดนี้บรรยากาศแตกต่างจาก White Sand Dune อย่างมาก อาจจะเพราะมันเล็กกว่า พอลงไปคนดูเยอะมาก มองไปทางไหนก็มีแต่คน วิวรอบๆก็สู้ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นทรายสุดลูกหูลูกตา ฝั่งนึงจะยังมองเห็นถนน อีกฝั่งก็เป็นต้นไม้ จุดดีก็คือทรายยังคงละเอียด นุ่มเท้าเหมือนเดิม เดินเล่นอยู่ประมาณ 10 นาทีก็กลับขึ้นรถ เป็นอันจบทริป

คนขับรถแท๊กซีพามาส่งถึงโรงแรมประมาณ 5 โมง แฟนจ่ายเงินให้แท๊กซี่ไป 5 แสนดอง แท๊กซี่บอกว่าขอไม่ทอนได้มั๊ย พวกเราก็โอเค เพราะถือว่าให้เป็นทิปคนขับรถไป พอกลับด้วยความที่เห็นว่ายังมีเวลาเหลือ เลยคิดว่าน่าจะไปดู Fisherman Village และ Fairy Stream ไปเลย ด้วยความที่เห็นว่า Fairy Stream ซึ่งเป็นจุดห่างออกไปจากโรงแรมประมาณ 5 กม. อยู่ไม่ไกลมากนัก จึงตัดสินใจว่าจะขึ่จักรยานไป (ค่าเช่าจักรยานโรงแรมคิดคนละ 10,000 ดอง) ซึ่งไม่รู้จะถือว่าคิดถูกหรือผิด เพราะการแต่งตัวก็ไม่ได้ให้กับการขี่จักรยานสักเท่าไหร่ ประกอบกับช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ประจำเดือนก็มา ทำให้ตอนขี่ไปแทบจะถอดใจอยู่หลายครั้ง แต่ประสบการณ์ที่ได้มานั้นก็สนุกอยู่ไม่น้อย คือการขี่จักรยานบนถนนเวียดนาม ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ HCMC และรถจะไม่เยอะเท่า แต่ก็ได้บรรยากาศเดียวกัน คือขี่ไปโดนบีบแตรไปตลอดทาง ซึ่งตรงนี้ก็เปลี่ยนให้พวกเราเป็นคนจิตแข็ง และเข้าใจการขับรถของคนเวียดนามเพิ่มขึ้นมาก เลยเข้าใจว่าถ้าไม่ทำตัวจิตแข็งก็คงขับไม่ได้ คือการบีบแตรของเค้า ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว เข้าใจว่าเป็นการเตือนให้ระวัง ทำอะไรอยู่ก็ให้อยู่อย่างนั้น อย่ายึกยัก แล้วเดี๋ยวคนที่เข้าบีบแตรใส่ เค้าจะหาทางหลบเราไปเอง

ขับมาจากโรงแรมประมาณ 3 โล ก็ถึงหมู่บ้านชาวประมง โชคดีมาก มาถึงตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก เป็นวิวที่สวยมาก จุดแปลกของที่นี่คือ เรือตกปลา ที่มีลักษณะเหมือนกะละมังใบใหญ่ นั่งชมวิวกันสักพักก็ขี่จักรยานไปต่อ

ไปต่อถึงอีก 2 กม. ก็ถึง Fairy Stream จุดนี้มีเสียค่าเข้า จริงๆมีราคาติดอยู่คนละ 10,000 ดอง แต่คนเฝ้าบอกว่าเอาจักรยานมาคิดเพิ่มเป็นคนละ 15,000 ดอง ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือถูกโกง มาถึงที่นี่ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว พวกเราก็เดินไปเรื่อยๆ ทางเดินจะมีน้ำไหลผ่านตลอด ถอดรองเท้าเดินได้เพราะพื้นเป็นเหมือนทรายนิ่มๆ ระหว่างเดินก็เจอคนที่เดินเข้าเหมือนกันอยู่แค่กลุ่มเดียว ส่วนใหญ่จะสวนกันกับคนที่เดินกลับมา ด้วยความที่ไม่ได้ดูมาก่อนว่าทางเดินยาวแค่ไหน ก็เริ่มไม่แน่ใจว่าควรเดินต่อไปรึป่าว เพราะมันมืดลงเรื่อยๆ ความโชคดีก็คือ วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ทำให้ถึงมืดยังไง ก็ยังพอเห็นทางเดินอยู่บ้าง เดินๆไปจนเริ่มไม่เห็นคนกลับมา จึงดูใน Google Map เหมือนว่าพวกเราจะเดินกันได้มาเกินครึ่งทางแล้ว อยากเดินกันไปให้สุดทาง เพราะระหว่างทางถามฝรั่งกลุ่มนึงเค้าบอกว่าจะมีช่วงที่น้ำขึ้นมาถึงเอวเลย ถ้าดูตามแผนที่ เข้าใจว่ามันจะเป็นทางที่ตัดไปออกทะเลเลย แต่จากที่ดูคิดว่ามันอาจจะต้องเดินไปอีกประมาณ 15 นาที พอคำนวณเวลาไปกลับ คิดว่าไม่น่าจะไหว เพราะทางค่อนข้างมืด เลยตัดสินใจกลับกันออกมา ระหว่างทางกลับไม่เจอใครเลย เดินๆมาสักพักเจอฝรั่ง 2 คน ซึ่งโชคดีที่เค้ามีไฟฉาย เราเลยเดินตามเค้ากลับมา จนถึงที่ๆจอดจักรยานไว้ ระหว่างเดินคุยกับแฟนว่าจะเช่ารถขนจักรยานขึ้นกลับดีมั๊ย แฟนบอกว่าตามใจ แต่คิดว่าน่าจะต้องโดนสักล้านดอง ด้วยความงกแถมกับความขี้เกียจสื่อสาร เราเลยตัดสินใจยอมขี่กลับโรงแรม ขากลับก็ขี่กลับสบายๆกว่าขามา เพราะรถเริ่มน้อยและอากาศเย็นกว่าตอนขามามาก มีจุดเดียวที่ลำบากคือ มีจุดขึ้นเนินยาว ซึ่งอันนั้นเราขี่ได้ครึ่งทาง ก็ต้องลงมาเข็นจักรยานขึ้นเนิน เรียกว่ากว่าจะกลับมาถึงโรงแรม เล่นเอาหอบเลยทีเดียว

กลับมาถึงโรงแรมก็รีบไปอาบน้ำ แล้วก็มาทานอาหารเย็นที่จองกับโรงแรมไว้ล่วงหน้า จากโปรโมชั่นจูงใจว่าจองก่อน 5 โมงได้ลด 10% อาหารของโรงแรม มีให้เลือกเยอะมาก ทั้งอาหารฝรั่ง อาหารเวียดนาม ปิ้งย่างซีฟู้ด พวกเราสั่งกันมากินด้วยความหิวโหย สิ่งที่ติดใจคือ น้ำจิ้มผงพริกไทยเกลือมะนาว เอาไปใส่กับอะไรก็อร่อยกินเสร็จก็เข้าห้อง ถือว่าจบไปหนึ่งวันด้วยความเหน็ดเหนื่อย

Day 2 Muine – HCMC

เช้าตื่นมาทานอาหารเช้าในโรงแรม มีให้เลือกหลายอย่าง ทั้งเวียดนามและฝรั่ง เราเลือกกินเฝอ รสชาติเหมือนเฝอคุณป้าเลย ตั้งใจกันไว้ว่าจะต้องกินให้อิ่มไปจนถึง HCMC เลย เพราะระหว่างทางกลับจะไม่แวะอะไรแล้ว เพราะว่ากลัวจะโดนหลอกอีกเหมือนตอนขามา หลังจากกินข้าวเช้าเรียบร้อย ก็ไปแจ้งโรงแรมให้หารถกลับ HCMC ให้ โรงแรมหามาเป็นแท๊กซี่ คิดราคาเหมาที่ 2 ล้านดอง เท่ากับตอนขามาเลย

เราออกจากโรงแรมประมาณ 9.30 ระหว่างทางกลับรู้สึกว่าเร็วขึ้นนิดหน่อย อาจเป็นเพราะว่ารถไม่ติดเท่าตอนขามา และคนขับขับเร็วกว่าคนแรก นั่งมาได้สัก 2 ชั่วโมง เพื่อนแฟนเกิดอยากเข้าห้องน้ำ เลยต้องบอกคนขับรถว่าขอแวะ ตรงนี้ก็แอบลุ้นอยู่ว่าจะโดนหลอกรึป่าว ตอนที่บอกคนขับรถ สองข้างทางก็มีร้านรวงเต็มไปหมด อยู่ๆคนขับรถ ก็เลือกจอดร้านที่ดูโทรมมาก เหมือนจะปิดด้วยซ้ำ แล้วคนขับรถก็ขึ้นมาบอกว่าไม่มีห้องน้ำ พวกเรายังงงว่าจะเลือกจอดร้านนี้ทำไม พอรถขับออกไปอีกไม่ถึงนาที อยู่ๆก็มีปั๊มน้ำมันใหญ่โผล่ขึ้นมา มีห้องน้ำ มีที่ขายขนม คนขับรถเลยเลี้ยวเข้า เราเลยค่อยรู้สึกโอเคหน่อยว่าคงไม่มีอะไรให้โดนหลอก เพื่อนแฟนไปซื้อผลไม้มากินในรถ ส่วนเราเดินเล่นอยู่แถวนั้น คนขับรถเดินมาถามว่าเอาน้ำมั๊ย ตอนนี้กลายเป็นโรคจิต ส่ายหน้าแล้วรีบเดินหนีคนขับรถไปเลย พวกเราเดินเข้ามานั่งรอคนขับรถในรถ อยู่ๆก็มีผู้ชายคนนึงเดินมาพร้อมคนขับรถ แล้วก็มาพูดภาษาอังกฤษถามว่าเราต้องการรถไป HCMC มั๊ย เราก็งง ว่าก็นี่ไงชั้นกำลังนั่งรถไป HCMC ก็เลยตอบไปว่ามีแล้ว เสร็จผู้ชายคนนั้นก็มาถามอีกซ้ำๆ จนไม่แน่ใจว่าต้องการอะไร แล้วก็เหมือนเค้าจะฟังที่พวกเราตอบกลับไปไม่รู้เรื่องด้วย พวกเราเดาว่าหรือว่าเค้าถามว่าถึง HCMC จะเอารถมั๊ย แต่เค้าก็มีถามว่าจะเอารถที่ใหญ่ขึ้นมั๊ย สรุปคือคุยกันไม่รู้เรื่อง พอเค้าเดินถอยออกไปเราล็อครถฝั่งประตูเราเลย เพราะกลัวเค้ามาเปิดถามอีก เค้าก็ยืนดูงงๆสักพัก คนขับรถก็ไม่ยอมขึ้นรถ สุดท้ายยังโชคดีที่เค้าก็เดินหายไปเอง ผลไม้ที่ซื้อมารสชาติคล้ายที่เมืองไทย ชมพู่กับฝรั่งอร่อยสู้ไม่ได้ แต่มะม่วงนี่อร่อยมาก อร่อยกว่าที่เมืองไทยอีก (เข้าใจว่าน่าจะเป็นของอร่อย เพราะพอเข้าเมืองไปซื้อกินก็อร่อยเหมือนเดิม) ผลไม้ที่ซื้อมาช่วยประทังความหิวไปได้ เราเข้ามาถึง HCMC ประมาณบ่าย 2 โมงกว่า

พอมาถึงก็เข้าไป Check-in ที่โรงแรมที่จองไว้มาล่วงหน้า Asian Ruby Center สภาพ Lobby ดูสวยมาก แต่สภาพห้องก็ธรรมดา สะอาด น้ำแรง ไม่มีเสียงรบกวน ตรงนี้ก็เหมือนมีเรื่องจะถูกโกงอีกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นที่ Booking.com หรือเป็นที่โรงแรม คือโรงแรมที่จองมา มันเขียนอยู่หน้า Booking.com อยู่แล้วว่าเป็นห้องแบบ Tripple แล้วก็มีเตียงอยู่ในห้องแล้ว 3 เตียง คือถ้าเป็นโรงแรมอื่นที่มี 2 เตียง มันจะให้เพิ่มเตียงเสริมและให้จ่ายเงินเพิ่ม แต่ตอนที่เลือกโรงแรมนี้ก็คิดว่ามันถูกดี เพราะเราก็คีย์ไปอยู่แล้วว่าจะเข้าพัก 3 คน และห้องก็เป็นสำหรับ 3 คน แต่ปรากฎว่าโรงแรมยืนยันว่ายังไงก็ต้องเสียเพิ่มในส่วนของคนที่ 3 เพราะราคาที่จ่ายมาเป็นสำหรับสองคน โดยเก็บเพิ่มอีก USD15/คืน หลังจากที่อธิบาย และดูเหมือนเค้าจะไม่ยอม เราก็เลยยอมจ่ายๆไป แต่ก็แอบเซ็งที่จะเหมือนโดนโกงอีกครั้งนึง

พอเก็บของเข้าห้องเรียบร้อยพวกเราก็ออกมาหาอะไรกิน การเดินทางในเมืองก็แสนจะสะดวกสบายด้วยการเรียก Uber Uber ที่นี่ดีมาก เหมือนรถจะมีเยอะ เรียกตรงไหนก็รอไม่เกิน 3 นาที รถก็มาถึง แถมไม่ต้องโทรไปมาเหมือนที่ไทยก็มาเจอตามหมุดที่ปักไว้ได้ตรงทุกครั้ง ราคาก็ถูกแสนถูกเริ่มต้นที่ประมาณ 28 บาท แพงสุดที่นั่งก็คือ 60 บาท (นั่งประมาณ 4 โล บวกกับรถติด) ร้านแรกชื่อ Bếp Nhà Xứ Quảng ตั้งใจไว้เลยว่าจะมากินร้านนี้ เพราะครั้งที่แล้วที่มาทำงานที่ HCMC ได้กินแล้วยังติดใจอยู่ พวกเราสั่งอาหารทั้งหมดไป 5 อย่าง มีซุปปูด้วยอีกอันนึง แต่คนเสิร์ฟบอกว่าให้สั่งแค่ 4 อย่างพอ แต่เราก็ยังยืนยันว่าจะเอาอย่างที่ 5 ด้วย พออาหารแต่ละจานทยอยออกมาก็เริ่มเข้าใจ อาหารจานใหญ่มาก สุดท้ายคือ คนเสิร์ฟก็ไม่เอาจานที่ 5 มาให้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นโชคดีไป เพราะแค่ 4 จานนี่ก็อิ่มมากแล้ว

พอกินเสร็จไปต่อที่ Apartment Cafe ตึกเก่า 9 ชั้น ที่มีร้านชากาแฟ และร้านขายของเป็นห้องๆอยู่ทุกชั้น ที่ตึกจะมีคิดค่าขึ้นลิฟต์คนละ 3,000 ดอง แต่พอไปกินที่ร้าน ร้านส่วนใหญ่ก็จะคืนเงินค่าลิฟต์ให้ด้วย

ร้านที่เลือกกินคือ ร้าน Orient Tea เพราะไม่อยากกินกาแฟกัน ร้านจะมีกล่องชาให้เลือกชาอยู่เต็มไปหมด ก็เลือกกันไปแบบ งงๆ จากตัวร้านสามารถมองเห็นวิวถนน Nguyen Hue ซึ่งเป็นถนนคนเดินที่มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านชากาแฟเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ที่สุดถนนก็จะเป็นรูปปั้น Ho Chi Minh นักปฏิวัติคนสำคัญของเวียดนาม และตึก Central Post Office ที่มีการสร้างแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ที่เป็น Tourist Attraction หลักของ HCMC นอกจากนี้ยังเห็นตึก Bitexco ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดใน HCMC อันนี้เค้าก็เปิดให้ขึ้นไปชมวิวด้วย แต่พวกเราไม่ได้ขึ้นไป

ลงมาจาก Apartment Cafe ก็เริ่มเย็น อากาศไม่ร้อนเหมือนตอนกลางวันแล้ว พวกเราเดินเล่นที่ Nguyen Hue เดินมาจนสุดทาง ที่รูปปั้น Ho Chi Minh นักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติ มายืนถ่ายรูปกันเต็มไปหมด

เดินเล่นเลาะมาเรื่อยๆจนถึง Nortre Dame Cathedral โบสถ์ที่สร้างโดยใช้วัสดุก่อสร้างที่เอามาจากฝรั่งเศสทั้งหมด

หลังจากนั้นเรานั่ง Uber ต่อไปที่ Pham Ngu Lao ซึ่งเป็นย่านที่มีลักษณะเหมือนถนนข้าวสารของบ้านเรา Bui Vien Walking Street ที่เราเดินผ่าน เต็มไปด้วยบาร์และร้านอาหาร  ตอนแรกกะว่าจะหาอะไรกินเล็กๆน้อยๆแถวนี้เพราะยังอิ่มจากมื้อกลางวันอยู่ แต่ก็ดูไม่มีอะไรน่ากิน

สุดท้ายเลยเรียกรถกลับมาแถวโรงแรม เดินๆมาเห็นเมนูร้านอาหาร SH Garden ดูน่ากินดี เลยคิดกันว่าจะกินร้านนี้ แต่ก่อนเข้าร้าน ร้านข้างๆเป็นร้านขายทัวร์ ร้านสะอาดสะอ้านติดแอร์ แถมคนขายผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเชื่อถือ เราเลยตัดสินใจซื้อทัวร์กับร้านนี้ ทั้งๆที่รู้ได้เลยว่าแพงกว่าที่พวกเราเดินผ่านที่ Pham Ngu Lao ค่าทัวร์ไปอุโมงค์ Cu Chi อยู่ที่ราคาคนละ USD20 มีรถมารับและส่งที่โรงแรม เข้าใจว่าถ้าซื้อที่ Pham Ngu Lao น่าจะตกแค่คนละประมาณ USD10 (ทัวร์อาจจะมีจุดต่างแค่ว่าไปรับที่โรงแรม หรือนัดไปเจอที่จุดขึ้นรถ / รวมค่าเข้าอุโมงค์ 110,000 ดองหรือไม่รวม) ซึ่งอันนี้ก็ถือว่าเต็มใจให้โดนหลอกล่ะกัน

หลังจากซื้อทัวร์เสร็จ พวกเราก็เข้าร้านอาหาร ร้านตั้งอยู่บนชั้น 2 บรรยากาศดี อากาศที่ HCMC นี้คล้ายกลับที่กรุงเทพในตอนกลางวัน คือแดดแรงและร้อนมาก แต่พอกลางคืนอากาศจะเย็นกว่าที่กรุงเทพ การนั่งแบบ Outdoor หรือ Rooftop ของที่เมืองนี้ เลยดูเหมือนจะเป็นจุดขาย แม้ว่า Rooftop ของที่นี่่ส่วนใหญ่จะเป็นตึกเตี้ยๆไม่เกิน 10 ชั้น กินเสร็จก็เดินกลับโรงแรม

Day 3 HCMC

เช้าวันรุ่งขึ้น  ตื่นมากินอาหารเช้าฟรีของโรงแรม อาหารเช้าจัดไว้ที่ชั้น 8 ชั้นสูงสุดของโรงแรม เป็น Open Air บรรยากาศใช้ได้ เลือกกินเฝอเหมือนเดิม เสร็จแล้วยังเหลือเวลา รอทัวร์มารับตอน 8.45 เลยเดินไปกินกาแฟร้านใกล้ๆโรงแรม

ร้านนี้เวลาเดินผ่านระหว่างวัน คนจะเยอะแยะเต็มไปหมด โชคดี พอมาตอนเช้าไม่มีคนเลย นั่งเล่นสักพัก ก็เดินกลับโรงแรมเพื่อไปรอขึ้นรถตามเวลานัด รถมาตามเวลานัด เหมือนเราจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เค้ามารับพอดี เพราะคนเต็มรถหมดแล้ว รถที่มารับเป็นรถทัวรขนาดเล็ก นั่งได้ประมาณ 20 คน ที่นั่งจะค่อนข้างแคบ นั่งแล้วติดเข่า แต่พอดูรอบๆแล้ว มีแต่ฝรั่งตัวใหญ่กว่าเราหมด ที่คิดว่าอยากจะบ่น เลยเลิกบ่นดีกว่า

พอขึ้นรถ ไกด์ก็เริ่มอธิบายให้ฟังว่า การเดินทางวันนี้จะใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง โดยระหว่างทางที่จะไปถึงอุโมงค์ Cu Chi ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 40 กม. จะแวะโรงงานหัตถกรรมภาพจากเปลือกไข่และเปลือกหอยที่ทำโดยคนพิการ ซึ่งเป็นจุดที่จะแวะให้ซื้อของ พักเข้าห้องน้ำ แล้วหลังจากนั้นจะเดินทางต่อจนถึงอุโมงค์ เมื่อไปถึงอุโมงค์ก็จะใช้เวลาอยู่ที่อุโมงค์ประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะพากลับมาส่งที่โรงแรม

ระหว่างทางไกด์อธิบายให้ฟังว่าอุโมงค์ Cu Chi เป็นเครือข่ายอุโมงค์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเวียดนาม โดยชาวบ้าน Cu Chi ได้ขุดร่วมกับเวียดกง เพื่อใช้เป็นฐานทัพของเวียดกง อุโมงค์จะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยชั้น 3 ที่ลึกสุดจะมีความลึกอยู่ประมาณ 10 เมตร ซึ่งการเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยวจะอนุญาตให้อยู่เฉพาะชั้น 1 ซึ่งมีความลึกอยู่ประมา 1-3 เมตร ซึ่งในอุโมงค์ก็จะแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องบัญชาการ ห้องครัว ห้องเก็บของ

โดยการเริ่มต้นทัวร์จะเริ่มต้นที่การดูหนังสารคดีประมาณ 10 นาที ต่อจากนั้น จะเป็นการเดินผ่านป่าไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีจุดที่ไกด์จะอธิบายให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุโมงค์ หลุมระเบิด กับดัก อาวุธ อุบายต่างๆของเวียดกง จนไปถึงจุดพัก ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดยิงปืนโดยกระสุนจริง ถ้าใครสนใจก็สามารถซื้อกระสุนยิงปืนได้ ประมาณกระสุนละ 100 บาท และต้องซื้ออย่างน้อย 10 ลูก

หลังจากพ้นจากจุดพัก จะเป็นจุดที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เดินลงไปในอุโมงค์ ซึ่งอุโมงค์มีความยาวทั้งหมด 200 เมตร จะแบ่งออกเป็นช่วง 20 เมตร 20 เมตร ุ60 เมตร 100 เมตร  คือแต่ละช่วงนี้ก็จะสามารถออกมาได้ สรุปว่าด้วยความกลัวของเรา เราเลยอยู่แค่ 20 เมตรแรก เพราะไกด์บอกว่ายิ่งเข้าไปจะยิ่งแคบ โดยเฉพาะช่วง 60 เมตรจะเป็นช่วงที่แคบที่สุด (แต่ถ้าอยู่จนครบ 200 เมตร ก็จะใช้เวลาอยู่ในอุโมงค์แค่ประมาณ 10 นาที) 20 เมตร ก็ถือเป็นประสบการ์ณที่โอเคสำหรับคนกลัวที่แคบอยากเรา

หลังจาก จบทัวร์ก็จะมีมันสำปะหลังจิ้มน้ำตาลให้ลองกิน ซึ่งไกด์บอกว่าเป็นอาหารที่พวกทหารและชาวบ้านกินสมัยหลบอยู่ในอุโมงค์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นอันจบการทัวร์ในอุโมงค์ Cu Chi ไกด์ให้เวลาเข้าห้องน้ำ และขึ้นรถเพื่อพากลับไปส่งที่โรงแรมที่ HCMC

นั่งรถมาประมาณชั่วโมงกว่า ก็กลับมาถึง HCMC ตอนบ่าย 3 เราจึงแจ้งไกด์ว่าขอไปลงที่ร้าน Banh Mi Huyn Hoa เป็นร้านขายขนมปังฝรั่งเศสใส่ไส้ มีตับบด แฮม ผักต่างๆ ร้านนี้ถือเป็นร้านที่เราต้องต่อคิวและใช้เวลารอนานที่สุดกว่าทุกๆร้านที่ไปมา คือใช้เวลารอนานเกือบครึ่งชั่วโมง ในคิวมีทั้งคนเวียดนามเอง และคนต่างชาติ จริงๆคนทำก็ทำค่อนข้างเร็ว แต่ปัญหาคือมีมอเตอร์ไซต์รับจ้างมารอซื้อ ซื้อทีใส่ถุงไปเป็นร้อยๆอัน เลยทำให้เราต้องรอนาน หลังจากที่มอเตอร์ไซต์รับจ้างได้รับของไป 2-3 คน แถวก็เริ่มเคลื่อนอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดได้ก็ถึงคิว Banh Mi อันละ 38,000 ดอง รสชาติอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว

หลังจากกิน Banh Mi เสร็จก็ไปกินต่อที่ร้าน Maison Marou ร้านนี้ดังเรื่องโกโก้ เราสั่งขนมมากิน 2 อย่างกับชาร้อน ต้องขอบอกว่าอร่อยมาก บรรยากาศในร้านก็ดีมาก หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นโกโก้

นั่งเล่นอยู่พักใหญ่ ก็มาถึงเวลาต้องไปร้านไฮไลท์ของทริป คือร้านหอย Oc Dao ถึงแม้ว่าเพื่อนแฟนไม่กินหอย เราก็ไม่สนใจ เพราะเราเป็นคนชอบกินหอยมาก และได้บอกไว้ก่อนตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่า ขอเวลาไปกินหอยวันนึง การหาร้าน Oc Dao ก็มีอุปสรรคเล็กน้อย เพราะจากคลิปของทริปกินแหลกล้างโลก คุณบิ้มได้ให้ลายแทงมา ซึ่งตรงกับที่ Search หาใน Google Maps แต่ปรากฎว่าที่ตั้งนั้นเป็นที่ตั้งของร้านเก่า พวกเราวันแรกก็เดินผ่านตรงนั้น แล้วก็หาไม่เจอ วันที่สองก็เผอิญเดินผ่านที่เดิม แต่ก็ไม่มีร้าน จนแฟนเดินเข้าไปถามร้านขายชา ที่เป็นที่ตั้งของร้าน Oc Dao เดิมตามที่เราจดมา ปรากฏว่าร้านชา บอกว่าเดิมร้าน Oc Dao ก็อยู่ตรงนี้แหละ แต่ตอนนี้ย้ายไปแล้ว เค้าก็เลยบอกที่ตั้งใหม่มาให้ (12 Vĩnh Khánh, phường 8, District 4, Ho Chi Minh City, Vietnam) ที่ตั้งร้านใหม่นี่อยู่ในโซน 4 ห่างจากโซน 1 ที่เราอยู่ประมาณ 3 กม. เป็นครั้งแรกที่ออกไปนอกเขต ข้ามแม่น้ำไปด้วย พอข้ามแม่น้ำไปนี่บรรยากาศก็ดูเมืองฝั่งธนบ้านเราเลย ดูเป็นบ้านๆกว่าอีกฝั่งนึง พอไปถึงถนน Vinh Khanh ถึงได้รู้ว่าทำไมร้านถึงย้ายมาอยู่ตรงนี้ จากที่ดูถนนเส้นนี้เป็นจุดรวมของร้านซีฟู้ด มีร้านหน้าตาคล้ายๆกันอยู่หลายร้านเลย

ที่ Oc Dao มีเมนูภาษาอังกฤษ รายการอาหารหลักๆก็คือ หอย มีหอยเป็นหลาย 10 ประเภท แต่ละอันก็เลือกได้ว่าจะให้ทำอะไร ย่าง ผัด ต้ม นึ่ง และก็จะมีวิธีปรุงให้เลือก เช่น พริกเกลือ ตะไคร้ เนยกระเทียม เราสั่งหอยมา 6 อย่าง และก็หนวดปลาหมึกย่าง มีพวกกุ้งนึ่งกับปูเผาที่ไม่ได้ลอง รสชาติหอยกับวิธีทำของที่นี่อร่อยมาก ทุกอย่างสุกกำลังดี รอก็ไม่นาน เหมือนเวลามากินหอยที่เมืองไทย ประเภทหอยก็มีให้เลือกมากกว่า จริงๆสั่งมา 6 อย่างก็ไม่รู้สึกว่าหอยแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน กินไปกินมาก็อร่อยเหมือนกันหมด ต้องขอบคุณแฟนที่พยายามหาและพามากิน (เย้ๆ)

พอกินเสร็จก็นั่งรถกลับไปที่โรงแรม เดินไปถาม Reception โรงแรมว่ามีที่เที่ยวย่านกลางคืนตรงไหนบ้าง Reception ที่ดูไม่ค่อยอยากตอบอะไรก็บอกว่าให้เดินไปจากโรงแรมไป 1 Block มี Walking Street อยู่ พวกเราก็งงๆ คิดว่าเดินไปก็มีแต่ถนนเส้นเดิม พอเดินมาถึงเข้าใจว่าทำไมเค้าถึงให้มา Nguyen Hue ได้เปลี่ยนเป็นถนนคนเดินเต็มรูปแบบ คือปิดไม่ให้รถผ่านเลย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมี Ao Dai Festival 2018 อยู่รึป่าว หรือเป็นเพราะปกติก็ปิดถนนตอนกลางคืนอยู่แล้ว บรรยากาศโดยรอบคึกคัก คนเวียดนามออกมาเดินกันเต็มถนน โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น ตรงเวทีบริเวณจัดงานก็จะมีการแสดงดนตรี สลับกับการแสดง และแฟชั่นโชว์ ก็ถือว่าโชคดีที่ได้เดินมาดู อีกเรื่องนึงที่งงก็คือ ป้าย Happy New Year 2018 ที่ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่ไปรึป่าว เพราะในเมืองยังมีป้ายนี้อยู่เต็มไปหมด ประกอบกับตอนที่เรามาถึง HCMC วันแรก คนขับรถก็พยายามพูดว่าตอนนี้คือปีใหม่ แต่พอลองหาดูใน Google ก็เห็นว่าเวียดนามก็ใช้ Lunar New Year ที่ตรงกับเรา เลยไม่แน่ใจว่ามันปีใหม่จริงๆรึป่าว

เราจบค่ำคืนนี้ด้วยการกินชานมไข่มุกร้านโปรด Share Tea และการกิน ฺBanh Trang Nuong (เป็นเหมือนแผ่นปอเปี๊ยสดเอาไปย่างใส่ไข่ใส่เครื่องต่างๆ)

Day 4 HCMC – BKK

เช้าวันนี้ตื่นเช้ามา ตั้งใจพาแฟนไปกินไข่กะทะตามความอยากกินของแฟน เพราะแฟน search ดูมาจากตอนกลางคืน ชื่อร้าน Banh Mi Hoa Ma ร้านนี้ก็ขาย Banh Mi เหมือนร้านแรก แต่สิ่งที่อยากมากินคือไข่กระทะ พอสั่งไข่กระทะ เค้าก็จะให้ขนมปังฝรั่งเศส พร้อมตับบดมาด้วย บรรยากาศร้านจะเป็นโต๊ะเตี้ยๆแบบบ้านๆ มาถึงไม่มีโต๊ะไม่ต้องตกใจ โต๊ะที่นี่เฮียสามารถสั่งให้ตั้งเพิ่มได้ตลอด

กินเสร็จกับโรงแรมมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียม Check-Out ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม จากนั้นก็เรียก Uber ไปต่อที่ War Remnants Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงให้เห็นถึงแง่มุมต่างๆของสงครามที่ชาวเวียดนามต้องเผชิญ จุดที่ดูน่าตกใจและน่าเศร้าที่สุดน่าจะเป็นส่วนของที่จำลอง และเล่าถึงเหตุการณ์ในคุกนักการเมืองบนเกาะ Phu Quoc และ Con Son ที่นักโทษทางการเมืองจะต้องถูกจับขังและทรมานอยู่ในห้องขังที่เรียกว่า Tiger Cage เข้าไปในตัวตึกใหญ่ก็จะมีการแสดงรูปและโปสเตอร์เป็นส่วนใหญ่ มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านสงครามเวียดนามของประเทศต่างๆ รูปภาพทหาร ชาวบ้านและเด็กในสงคราม

ใช้เวลาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เกือบ 2 ชั่วโมง ก็ดูครบจนหมด พวกเราเรียก Uber ไปยังร้าน Pho Hoa Pasteur ที่เป็นร้านเฝอชื่อดังที่ใครๆก็พูดถึง ปรากฎว่าร้านปิด เลยอดกิน เลยไปต่อที่ร้าน Banh Xeo 46A เพื่อไปกิน Banh Xeo (หรือขนมเบื้องญวน)

กินเสร็จก็ยังติดใจที่ไม่ได้กินเฝอ เลยลอง Search หาดู ร้านนึงที่คนใน Pantip พูดถึงกันคือร้าน Pho 2000 เข้าใจว่าร้านนี้ดังขึ้นมาเพราะเป็นร้านที่ประธานาธิบดี บิล คลินตัน แวะมากินตอนที่มาที่ HCMC เราเรียกรถไปให้จอดที่ Ben Thanh Market Tourist Attraction อีกหนึ่งแห่ง เข้าไปเดินไม่ถึง 2 นาที ก็ออกมา เป็นตลาดที่ขายของเหมือนมาบุญครองบ้านเรา และก็จะมีโซนอาหาร ที่ขายเป็นพวกอาหารท้องถิ่นของเวียดนาม แต่ที่ไม่ชอบคือ คนขายจะมาแบบ Hard Sell มาดึงแขนชักชวนให้เข้าร้านตลอด เดินออกจากตลาด Ben Thanh ก็มาเจอร้าน Pho 2000 เราสั่งมาแบ่งกับแฟนกินกันแค่ชามเดียว สุดท้ายอยากจะสรุปว่าที่กินมารู้สึกว่าเฝอที่ได้กินรสชาติคล้ายกันหมด คืออร่อยใช้ได้ ไม่ได้มีร้านไหนโดดเด่นกว่าร้านไหนเลย หรืออาจเพราะไม่ได้กินร้านดังก็ไม่รู้

เสร็จจากการกินเฝอก็ไม่มีอะไรทำ เลยไปนั่งเล่นอยู่ร้านกาแฟ Workshop ไปถึงสั่งกาแฟ Cold Brew มากิน รสชาติก็ธรรมดา ออกไปทางเปรี้ยว นั่งเล่นอยู่พักใหญ่ ก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นหาของฝาก

เดินไปเดินมาเรื่อยๆ ก็เริ่มกลับเข้ามาใกล้โรงแรมของพวกเรา เดินผ่าน Opera House ที่นั่งรถผ่านมาหลายรอบ เดินไปเดินมาหาของฝาก สุดท้ายไปได้ผ้าพันคอไหมที่ร้าน Metiseko ร้านนี้ขายเสื้อผ้า แบบผ้าสวยดีมีทั้งที่ทำจากผ้าไหมและผ้าฝ้าย เพื่อนแฟนเดินหาของฝากต่ออีกนิดหน่อย พอได้ของครบพวกเราก็เดินไปหาร้านนวด กะว่านวดสักชั่วโมงก็จะพอดีเวลาทานข้าวเย็นพอดี ที่ไม่น่าเชื่อคือร้านนวดที่นี่จะฮิตมาก พวกเราเดินไป 2 ร้านใกล้ๆโรงแรมที่เราอยู่ที่ได้ Review ดีจาก Trip Advisor    ปรากฎว่าเต็มทั้ง 2 ร้าน ในส่วน ของร้านข้างโรงแรมก็ไม่รับบัตรเครดิต ด้วยความที่พวกเรากลัวเงินสดจะไม่พอจึงยังไม่อยากใช้เงินสดก็เลยยังหาร้านนวดไม่ได้ สุดท้ายเลยตัดใจว่าไปเดินกินชาแถว Nguyen Hue อีกดีกว่า ระหว่างเดิน ก็มีคนมายื่นโบร์ชัวร์บอกว่านวดมั๊ย เพื่อนแฟนตอบตกลงทันที ตอนแรกเราบอกว่าไม่เอาเพราะว่าดูท่าทางมันเหมือนร้านเสริมสวยกลัวจะนวดไม่ดี แต่เป็นเพื่อนแฟนโอเคไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ระหว่างทางเดินขึ้นไปร้านเลยตะโกนบอกแฟนไปว่าให้ดู ถ้าไม่สะอาดก็ไม่เอา ร้านนวดนี่ต้องเดินขึ้นบันไดไป 4 ชั้นกว่าจะถึง แฟนไปถึงก่อนตะโกนตอบมาว่าก็พอโอเค เราก็เลยบอกว่านวดก็ได้ พอไปถึงพนักงานนวดมา แต่งหน้าสวยงาม ใส่ชุดกระโปรง เรายังถามแฟนเลยว่าแน่ใจว่าเค้านวดธรรมดา โชคดีที่พอนวดไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เค้าก็นวดกันดี แล้วก็คิดราคาตามที่ตกลงไว้ไม่ได้โกงอะไร เป็นอันว่าฆ่าเวลาได้สำเร็จ

ออกจากร้านนวดเรียก Uber ตรงดิ่งไปยังร้าน Ashima ไปกิน Shabu เห็ด ตามคลิปทริปกินแหลกล้างโลก พอมาถึงด้วยความที่มีเห็ดเยอะมากคนจำไม่ได้ เลยต้องขอเวลาเปิดดูคลิปแล้วสั่งตาม ได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะเห็ดบางอันก็หมด ทีเด็ดของร้านนี้คือ น้ำซุป (Special Mushroom Soup) และน้ำจิ้ม อร่อยมาก ถือเป็นมื้อสั่งลาได้ดีทีเดียว

หลังกินเสร็จ คิดในใจว่าอยากกินชานมไข่มุกร้าน Share Tea อีก ปรากฎว่าพอไปหน้าร้านคิวยาวเหยียด พอดูเวลาแล้วไม่น่าจะทัน เลยต้องจำใจเดินกลับโรงแรมเพื่อไปเอากระเป๋า ระหว่างรอกระเป๋า นึกได้ว่ามีร้าน Cong Caphe ที่อยู่ใกล้ๆ เดินผ่านมาหลายครั้งแล้ว เห็นตอนดึกๆจะมีวัยรุ่นเวียดนามมากินเยอะมาก ไม่รู้ว่าของเด็ดของเค้าคืออะไร เลยตัดสินใจเดินไปกิน สั่งมาแค่ชานม รสชาติอร่อยใช้ได้ เดินกลับมายังไม่ทันจะได้นั่งที่โรงแรม Uber ที่เรียกไว้ก็มาถึง พาพวกเราไปส่งที่สนามบินโดยสวัสดิภาพ 

สรุปทริปเวียดนามครั้งนี้ ถือเป็นทริปที่สนุกพอใช้ได้ สถานที่ท่องเที่ยวไม่ค่อยมีอะไรมาก ทำให้ค่อนข้างจะมีเวลามาก และเน้นไปทางการกินซะมากกว่า แต่ก็ถือว่าตอบโจทย์ ได้พักผ่อน ได้กินหอยอย่างจุใจ

NooChan Written by:

Journey diary for a forgetful person, like myself!!

Comments are closed.