เดินป่า เดินเขา

ผ่านไป 2 ปีกว่า จะ 3 ปี คิดว่าได้ฤกษ์ที่จะเขียนถึงทริปเทรคกิ้งทริปแรกในชีวิตซะที หลังจากปล่อยไว้เสียนาน จนความทรงจำเริ่มลางเลือน เลือนจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจุดเริ่มต้นของทริปมาได้ยังไง ทำไมถึงอยากไป ความโชคดีที่ทำให้ได้ไปทริปนี้คือ ความไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าต้องไปเจออะไร ไม่รู้ว่าความลำบากคืออะไร รู้แค่ว่าอยากไป ก็ไป


หลังจากรื้อ Email เก่าดู ก็เห็นได้ว่าเริ่มติดต่อกับ Tour Operator ชื่อ  Amazing Borneo Tours ตอนเดือนมีนาคม 2015 ก่อนไปจริงเดือนนึง ทัวร์ที่เลือกซื้อไปคือ 2D1N Mount Kinabalu Climb with Ferrata (Low’s Peak Circuit) ในราคาแสนแพง 2 คน RM3,582 ราคานี้รวมที่พัก 1 คืนใน Kinabalu รถรับส่งไปกลับจากโรงแรมไปอุทยาน อาหาร ไกด์ อุปกรณ์ Via ferrata จริงๆราคาทัวร์ที่แพงเพิ่มขึ้นมานี่ ส่วนนึงก็เป็นเพราะ Via Ferrata ด้วย จำได้ว่าตอน Search หา ราคาทัวร์ของที่นี่ถือเป็นราคาทัวร์กลางๆ แบบว่ามีทั้งทัวร์ที่แพงกว่าและถูกกว่านี้ด้วย ต้องย้อนไปก่อนว่าไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำว่า Via Ferrata คืออะไร ลอง Search อ่านดู คำแปลสุดเท่ บอกว่าเป็นภาษาอิตาเลี่ยน แปลว่า Iron Road ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เข้าใจอะไรมากหรอก แต่ดูจากรูป และคำโฆษณา เข้าใจได้ว่ามันเป็นทางที่ทำไว้ลงจากเขา โดยจะปักเหล็กเข้ากับหน้าผา แล้วมีพวกสายสลิงต่อติดอยู่กับตัว ให้เราไต่ลงมาตามนั้น  ซึ่งบอกไว้ว่าเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูงมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น ความน่าสนใจอยู่ที่ว่าทั่วโลกมีเส้นทาง Via Ferrata อยู่ 300 เส้นทาง และที่  Mount Kinabalu เป็นเส้นทาง Via Ferrata ที่สูงที่สุดในโลก แค่อ่านเจอคำนี้ก็ดูน่าไปขึ้นมาทีเดียว เหมาะกับคนกลัวความสูงอย่างตัวเองมากๆ ทีนี้ก็ได้เวลาปรึกษาคนที่ไปด้วย ว่าจะไปเส้นทางไหนดี Via ferrata จะมีให้เลือกอยู่ 2 เส้นทาง Walk the Torq กับ Low’s Peak Circuit ความต่างอยู่ที่ระยะทาง อันแรก 430 เมตร จุดสูงสุดอยู่ที่ 3,520 เมตรเหนือระดับทะเล กับอันหลังระยะทาง 1.2 ก.ม. จุดสูงสุดอยู่ที่ 3,776 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล การตัดสินใจนั้นง่ายดาย ด้วยความเป็นคนโลภ ไม่ประเมินตัวเอง ทั้งคู่เลยตัดสินใจเลือก Low’s Peak Circuit เพราะเห็นว่าไหนๆทำแล้ว ก็เอาอันยาวไปเลย จะได้ทำให้ครบ เห็นทุก route (อันนี้ถ้าเลือกย้อนหลังกลับไปได้ อยากจะแนะนำให้ตัวเองเลือก Walk the Torq เล็กๆ น่ารัก ได้ครบบรรยากาศโดยไม่ต้องเหนื่อยมาก) ทั้งนี้ ขอเอารูปจาก http://mountaintorq.com มาแปะไว้เป็นข้อมูล สำหรับเก็บไว้ดูล่ะกัน

หลังจากเลือกได้เป็นที่เรียบร้อยก็ตัดสินใจจองทริป จองตัวเครื่องบินกับ Air Asia  โดยก่อนจะเริ่มต้นทริป ความสนุกอีกอย่างนึง คือการช้อปปิ้ง ครั้งนี้เป็นการช้อปปิ้งแบบมีสติ ด้วยความที่ไม่รู้อะไรมากเลยซื้อแค่ เป้ 22L เสื้อกันลมคนละตัว ถุงมือคนละคู่ Headlamp 1 อัน และก็พร้อมไป

และแล้ววันเริ่มเดินทางก็มาถึงวันที่ 11 เมษายน 2015 โดยก่อนขึ้นเครื่องเราก็แวะเติมพลังตั้งแต่สนามบินดอนเมือง เราบินไฟลท์ FD319 Air Asia ออกจากดอนเมือง 12.50 ไปถึงกัวลาลัมเปอร์ตอน 4 โมงเย็น รอขึ้นเครื่องไฟลท์ AK5130 ตอน 6.35 ไป Kinabalu ระหว่างบินก็กิน Nasi Lemak บนเครื่อง อร่อยดี ชอบ เราถึงที่สนามบิน Kota Kinabalu ตอน 3 ทุ่ม สนามบินเป็นแบบไม่มีแอร์ คนต่อคิวเข้าต.ม.เต็มพื้นที่ แต่ใช้เวลาไม่นานก็ผ่านออกมาได้

ด้วยความหิวโหย เราเลยเรียกแท็กซี่ไปหาของกินแถวๆโรงแรม เป็นร้านกับข้าวตักๆ ชื่อ City Food Corner คล้ายข้าวแกง แต่เราสั่งตามสั่ง มีข้าวผัด Curry Laksa และก็อะไรไม่รู้เหมือนปอเปี๊ยะสด ของที่ประทับใจที่สุด คือ Kit Chai Ping เป็นประมาณน้ำส้มจี๊ด อร่อย หอม สดชื่นสุดๆ หลังจากนั้นก็ Check-in เข้าโรงแรม Cititel Express โรงแรมสะอาด ใช้ได้เลย

เช้าวันรุ่งขึ้นประมาณ 6 โมงเช้า รถจาก Amazing Borneo มารับเราที่โรงแรม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึง Kinabalu Park Headquarter ที่ตีนเขา Mount Kinabalu มีความวุ่นวายเล็กน้อย เพราะทุกคนมารวมตัวที่นี่ รออยู่พักใหญ่ มีคนมาแนะนำตัวบอกว่าเป็นไกด์ของเรา ยังไม่ทันจำหน้าได้ คุณพี่ไกด์ก็หายตัวไปแล้ว โผล่มาอีกทีก็มาแจก Tag ประจำตัว ย้ำว่าให้แขวนติดตัวไว้ ห้ามทำหาย เพราะต้องมีการตรวจเมื่อถึง Check Point แล้วก็แจกอาหารกลางวันให้ ก่อนเดินเราเตรียมเสบียงมาไม่มาก มีป๊อบคอร์นมาถุงนึง แล้วก็น้ำคนละ 2 ขวด ประมาณ 8 โมงครึ่ง ไกด์ให้เราเริ่มเดินไปที่จุด Check Point Timpohon Gate แวะซื้อ Chocolate bar เพิ่มมาหนึ่งอัน ไกด์ชี้ให้ดูแผนที่การเดินทาง หลังจากนั้น การเดินทางก็ได้เริ่มขึ้น ที่แปลกคือ ตอนเริ่มเดิน เราเดินเรากัน 2 คน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนในกรุ๊ปเรามีใครบ้าง ไกด์บอกแค่ว่าให้เราเดินไปตามทาง ระหว่างทางขึ้น ไกด์ของเราก็มาทักแบบผลุบๆโผล่ๆ เราก็เดินกันเองไปเรื่อยๆ ทางค่อนข้างชัดเจน มีคนเดินก่อนประปราย ทำให้พอเดินตามได้ ไม่มีหลง

ระยะทางเดินขึ้นไปถึงบ้านพักทั้งหมด 6 กม. ทางเดินขึ้น ก็ถือว่าไม่โหดมาก มีทางชันบ้าง แบบรู้สึกว่าต้องปีนบ้างเป็นบ้างช่วง ทางค่อนข้างหลากหลาย เปลี่ยนไปเป็นชั้นๆ เป็นความรู้สึกที่เราสองคนชอบมาก เพราะเหมือนเดินขึ้นไปบรรยากาศก็เปลี่ยน ทางเดินเปลี่ยน ต้นไม้เปลี่ยน วิวเปลี่ยน ไม่มีซ้ำเลย ถือเป็นการเดินที่คุ้มมาก เดินไม่นาน แต่ได้เห็นอะไรที่หลากหลาย

อีกอย่างนึงที่ได้เจอระหว่างทางและคิดว่ามันเจ๋งมากเลยคือ ต้นไม้กินสัตว์ หรือที่เรียกว่า Nepenthes Rajah ซึ่งถือว่าเป็นต้นไม้ประจำเกาะบอร์เนียว และเป็นต้นไม้ใกล้จะสูญพันธุ์ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นของจริง ใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้มาก โชคดีมากที่ได้เห็น เพราะมันหลบอยู่ที่ข้างทางที่ไม่ใช่ทางเดิน แต่พอดีเจอไกด์แล้วไกด์เรียกเราเข้าไปดู ไม่งั้นคงไม่ได้เห็น

เดินมาทั้งหมดเกือบ 5 ชั่วโมง ก็ถึงบ้านพักที่ความสูง 3,289 เมตร ตอนประมาณบ่ายโมงครึ่ง เราเอากล่องอาหารกลางวันที่ไกด์แจกมากินกัน บ้านที่เราพัก คือ Pendant Hut ในบ้านเป็น 2 ห้องนอนใหญ่ น่าจะนอนรวมได้ห้องละเกือบ 20 คน เป็นเตียง 2 ชั้น มีถุงนอนให้ อุ่นพอสำหรับทั้งคืน  เราสองคนเลือกนอนชั้นล่างข้างกัน หลังจากนั่งพักแป๊ปนึง เราก็เดินไปกินมาม่าเพิ่มที่บ้าน Laban Rata และก็กลับมาฟัง brief เรื่องอุปกรณ์ Via ferrata ตอนบ่าย 3 โมง หลังจากนั้นเราเช็ดตัวด้วยทิชชู่เปียก ข่าวดีคือน้ำไม่ไหล ดังนั้น ไม่ต้องคืดถึงเรื่องที่จะอาบน้ำ ยังดีที่น้ำที่บ้านของพวกเรามีพอให้ชักโครกไปถึงเกือบเช้า จากนั้น รอถึงประมาณ 5 โมงครึ่ง ก็ถึงเวลาข้าวเย็น โดยเค้าเสิร์ฟกันเป็น Buffet มีหลายๆอย่างให้เลือก คนเยอะแยะเต็มห้องอาหารเลย หลังจาก กินข้าวเสร็จ กลับมาถึงบ้านก็มืดแล้ว ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า เราก็รีบแปรงฟันแล้วเข้านอน เพราะไกด์นัดให้ตี่นตั้งแต่ตีหนึ่งครึ่ง

ไม่แน่ใจว่าด้วยความเป็นคนที่นอนยากเป็นปกติอยู่แล้ว หรือด้วยความที่อ็อกซิเจนเบาบาง ทำให้นอนไม่หลับ แถมรู้สึกว่าหายใจลำบาก คือหายใจแล้วเหมือนไม่เต็มปอด นอนพลิกไปพลิกมาอยู่คนเดียว ในห้องมืดมาก มองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง ทุกคนในห้องดูเงียบมาก เหมือนจะหลับกันหมด มีแต่เราที่ขยับไปมา แล้วลุกเดินไปเข้าห้องน้ำอยู่ 2-3 ครั้ง คนที่มาด้วยนอนหลับสบาย ไม่รู้เรื่องอะไร สุดท้ายรู้สึกกลัวบวกไม่สบายตัว เลยออกไปนั่งอยู่หน้าห้อง โชคดีเจอผู้ชายคนนึงเหมือนจะนอนไม่ได้เหมือนกัน มานั่งคุยเป็นเพื่อนพักใหญ่ หลังจากนั้น ก็แยกย้ายไปพยายามนอนต่อ ยังไม่ทันจะรู้สึกว่าได้หลับดี ก็มีเสียงคนมาปลุกให้ตื่น ถึงเวลาตีหนึ่งครึ่งตามที่นัดแนะเอาไว้ รีบแต่งตัวเพิ่ม ออกมากินอาหารเช้า เป็นพวกขนมปัง กับเครื่องดื่มร้อนง่ายๆ แล้วเตรียมออกเดินทาง

เดินออกมาข้างนอก อากาศเย็นมาก มืดมาก มีแต่แสง Headlamp ของทุกคน เดินไปเรื่อยๆ จนถึง Sayat Sayat Check Point เจ้าหน้าที่ตรวจบัตรอีกครั้งนึง จากนั้น ก็เดินๆต่อไปในความมืด จำได้ว่ามีจุดที่น่ากลัว คือเป็นจุดที่ค่อนข้างชัน แบบอาจจะกลัวไปเอง เพราะคนอื่นก็ดูเดินได้ปกติ แต่ในความรู้สึก รู้สึกเหมือนว่ามันเอน จนกลัวว่าหยุดแล้วจะตก ตอนเดินช่วงนี้ เริ่มมีความรู้สึกเหนื่อย คือมันมืด ชัน หนาว แบบถ้าเดินก็ร้อน หยุดเดินเมื่อไหร่ก็หนาว แล้วช่วงท้ายๆก็จะมีเชือกเหมือนให้จับช่วยพยุงตัว แต่ไม่รู้ว่ามันช่วยหรือทำให้ใช้แรงมากขึ้น สุดท้ายก็ใช้บ้าง ไม่ใช้บ้าง เดินไปเดินมาฟ้าเริ่มสว่าง มองเห็นทาง พระอาทิตย์เริ่มขึ้น เราก็ถึงยอดที่ 4,095 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตอนประมาณ 6 โมงเช้า เป็นความรู้สึกที่ดีใจมาก ความเหนื่อยทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้ง วิวข้างบนสวยมาก คิดว่าเป็นวิวที่สวยที่สุดที่เคยเห็นในชีวิต ความรู้สึกคือ ชอบมาก นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศสักพัก ก็ได้เวลาที่ต้องเดินลงล่ะ เพราะนัดกับไกด์ Via Ferrata ไว้ โดยเค้าบอกให้ไปถึงจุดนัดพบไม่เกิน 7 โมงครึ่ง

จุดนัดพบนี่ ไม่บอกก็ไม่รู้ ไกด์ชี้ให้ดูตอนเกือบสว่าง อยุ่ประมาณกม.ที่ 7.5 โชคดีเดินๆลงมาก็เห็นกลุ่มไกด์ Via Ferrata รออยู่ ในกลุ่มมีคนมาด้วยกันอีก 2 คน เป็นคนสิงค์โปร์ ดูฟิต และไม่กลัวอะไร ไกด์ถามว่าใครกลัวความสูงบ้าง มียกมืออยู่คนเดียว ไกด์เลยจับไว้ให้อยู่หลังสุด อยู่หลังสุดนี่คือได้รับการดูแลอย่างดีตลอดทาง ถือได้ว่าเป็นตัวถ่วงนี่เอง อุปกรณ์ที่ได้คือ หมวกนิรภัย Harness โดยจะมีสายสลิงที่จะเชื่อมทุกคนไว้ด้วยกัน  หน้าที่ของทุกคน คือคอยเปลี่ยน Loop ที่ติดอยู่กับตัว ไปตามสายสลิงในระหว่างที่เดินไป ความแย่ของ Via Ferrata คือ จะมีช่วงที่ตัวเราอยู่ติดหน้าผา แล้วมองลงไปก็จะไม่มีอะไร เป็นหน้าผาสูงๆ บางช่วงก็มีลม พัดมาทำให้รู้สึกกลัว สำหรับคนไม่กลัวความสูงน่าจะเป็นอะไรที่สนุกมากๆ เพราะอุปกรณ์ดูปลอดภัยมาก แต่สำหรับคนกลัวความสูงอย่างเรา ขาสั่นตลอดเวลา สั่นแบบสั่นไม่หยุดเพราะกลัว แล้วทางที่เลือกนี้ก็ถือว่านานมาก ทำเท่าไหร่ก็ไม่ถึงซะที จะกลับตัวก็ไม่ได้ ต้องแข็งใจลงไปให้ถึงอย่างเดียว ระหว่างทำมีเดินผ่านสะพานเล็กๆ (Nepalese bridge) 2 สะพาน เป็นสะพานแคบๆขนาดพอดีเท้า เด้งไปเด้งมาเวลาเดินผ่าน แถมมองลงไปก็เป็นหุบเขาลึกๆอีก

ตลอดทางลงทั้งหมดรวม 1.2 กม. ระยะทางดูเหมือนไม่ไกล แต่ใช้เวลาลงมานานมาก เราเริ่มตอนประมาณ 8 โมงเช้า  ประมาณเกือบ 6  ชั่วโมง ลงกลับมาถึงที่ Pedant Hut ระหว่างทางจะมีได้พักครั้งหนึ่ง ประมาณช่วงกลางทาง ประมาณ 20 นาที เป็นจุดพักเดียวที่ไม่ได้พักอยู่บนหน้าเขา แบบได้นั่งพักจริงๆจังๆ ที่จุดนี้ได้ลองฉี่กลางธรรมชาติเป็นครั้งแรกด้วย

พอลงมาถึงที่ Pedant Hut  ก็กินข้าวกลางวัน เก็บของ แล้วออกเดินทางกลับ โดยเราเริ่มเดินลงประมาณบ่าย 3 ด้วยความที่ฟ้าฝนเป็นใจ ฝนก็เริ่มตกปรอยๆตลอดทางลง แถมที่แย่คือ ฟ้าเริ่มมืด ตอนลงที่คิดว่าง่ายก็ไม่ง่ายอีกต่อไป กลับยากกว่าตอนขึ้น ตอนนี้เป็นตอนที่ความทรมานเริ่มออกฤทธิ์ ขาเริ่มปวด น่าจะเป็นจากการทำ Via Ferrata ทุกก้าวที่ก้าวลง คือความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ จะหยุดก็ไม่ได้ เพราะฟ้าเริ่มมืด ฝนก็ตก ระหว่างทางลง ไม่มีใครเลย จำได้ว่าเจอคนทั้งหมด 4  คน 2 ใน 4 คนนั้น คือคนสิงค์โปร์ที่ทำ Via Ferrata กับเรา ซึ่งแซงหน้าเราไปพักใหญ่ มีอีก 2 คนเป็นผู้ใหญ่อยู่ด้านหลัง ซึ่งคาดว่าไกด์จะต้องไปอยู่กับเค้า เรา 2 คนอยู่กันเองในความมืด มีแค่แสงไฟจาก Headlamp ทางเดินลื่น ขาเจ็บทั้งคู่ เป้ที่แบกอยู่กลายเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ (ขอบคุณนะ ที่ช่วยเอากระเป๋าไปแบกให้อยู่พักนึง) ตอนนี่ถือเป็นเวลาที่ยาวนานมาก น่าจะเป็นเพราะความมืดและความกลัว ภูเขาเงียบมาก มีแต่ความวังเวง ข้างทางเวลาแสงไฟที่หัวส่องไปดูน่ากลัวเหมือนมีอะไรโผล่ตลอดเวลา 2 คนไม่กล้าทักหรือพูดอะไร พยายามมองทางตรงและลงไปให้ได้เร็วที่สุด สุดท้ายเราหลุดออกมาจากเขาได้ตอนประมาณทุ่มนึง ดีใจอย่างที่สุด เป็นความรู้สึกเหมือนรอดตาย ตอนนั้นรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะไม่เคยอยู่ในป่าตอนมืดๆ มันมีความน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เรารอรถอยู่พักใหญ่ รถของทางทัวร์ก็มารับเรากลับไปส่งที่โรงแรมในเมือง โดยก่อนกลับเราแวะไปไปที่ Office ของ Amazing Borneo เพื่อไปรับประกาศนียบัตรเป็นอันจบการเทรคกิ้งโดยสมบูรณ์แบบ

อาหารมื้อจากลงเขา เราเลือกกินร้านอาหารจีนใกล้โรงแรม อาหารรสชาติดีอร่อยถูกปาก

วันรุ่งขึ้นเรามีเวลาอยู่ในเมือง Kota  Kinabalu ก่อนขึ้นเครื่องบินไฟลท์ AK5105 บ่าย 2 โมงครึ่ง ก็เลยเดินหาของอร่อยกินเรื่อยเปื่อย ขาของ 2 คน เดี้ยงมาก แบบเดินไปเจ็บไป เมื่อไหร่ที่ขึ้นลงฟุตบาทจะต้องมีเสียงร้องออกมา เดินหาของกินจนอิ่มหนำสำราญ คิดว่าถึงเวลาต้องไปขึ้นเครื่อง ไปถึงสนามบินตอนประมาณ 10 โมง สนามบินเล็กมาก ไม่มีอะไร เลยตัดสินใจนั่งรถแท็กซี่ออกมาจากสนามบิน ไปห้างใกล้ๆกับสนามบินเดินเล่นต่อ ห้างที่ทันสมัย ใช้ได้เลย มีเวลาช้อปปิ้ง หาของกินต่อ  และมีซื้อของกินขึ้นมาเผื่อกินบนเครื่องบินต่อด้วย  เกือบบ่ายโมงเราก็กลับมาถึงสนามบิน บินกลับมาแวะเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ บินกลับถึงกรุงเทพฯตอนเกือบสองทุ่มด้วยไฟลท์ AK888 โดยสวัสดิภาพ

สรุปแล้วทริปนี้เป็นทริปที่สนุกสนาน มีความโหดที่ไม่มากจนเกินไป อาหารอร่อย และวิวของ Mount Kinabalu นี่ สวยแบบประทับใจ ไม่รู้ลืมเลย ขอขอบคุณผู้ร่วมทริปที่คอยดูแล และไม่ทิ้งกัน ^^

NooChan Written by:

Journey diary for a forgetful person, like myself!!

Comments are closed.